วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552


ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ

ความเป็นมา
ในสมัยที่พระเจ้าศรีธรรมโศกราชเป็นกษัตริย์ครองตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช) อยู่นั้น ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งใหญ่และแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๑๗๗๓ ขณะที่เตรียมสมโภชพระบรมธาตุอยู่นั้น ชาวปากพนังมากราบทูลว่า คลื่นได้ซัดเอาผ้าแถบยาวผืนหนึ่งซึ่งมีภาพเขียนเรื่องพุทธประวัติมาขึ้นที่ชายหาดปากพนัง ชาวปากพนังเก็บผ้านั้นถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระองค์รับสั่งให้ซักผ้านั้นจนสะอาดเห็นภาพวาดพุทธประวัติ เรียกว่า “ ผ้าพระบฏ ” จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของ ได้ความว่าชาวพุทธจากหงสากลุ่มหนึ่ง จะนำผ้าพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา แต่ถูกพายุพัดพามาขึ้นชายฝั่งปากพนัง เหลือผู้รอดชีวิตสิบคนพระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงมีความเห็นว่าควรนำผ้าพระบฏไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ แม้จะไม่ใช่พระพุทธบาทตามที่ตั้งใจ แต่ก็เป็นพระบรมสารีริกธาตุซึ่งเจ้าของผ้าพระบฏก็ยินดี การแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงมีขึ้นตั้งแต่ปีนั้นและดำเนินการสืบต่อมา จนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
ซึ่งประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นประเพณีท้องถิ่นที่มีจัดเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย จัดขึ้นในวันมาฆบูชา อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่ถือว่าเป็น “ วันจตุรงคสันนิบาต ” คือวันที่พระอรหันต์ซึ่งเป็นเอหิภิกขุ จำนวน ๑ , ๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ พุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้พร้อมใจกันประกอบศาสนพิธีในวันนี้ โดยการเวียนเทียนและแห่ผ้าที่เรียกกันว่า “ ผ้าพระบฏ ” เพื่อนำไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ และน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประจำทุกปี

วันเวลาจัดงาน และพิธีกรรม
แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุนิยมจัดปีละสองครั้ง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม ( วันมาฆบูชา) และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก (วันวิสาขบูชา) โดยนำผ้าไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ปัจจุบันนิยมทำกันในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม (วันมาฆบูชา) มากกว่า

สาระสำคัญของประเพณีนี้
แสดงให้เห็นลักษณะสังคมของนครศรีธรรมราช ที่ยึดมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาการทำบุญเพื่ออุทิศเป็นพุทธบูชาเพื่อประสงค์ให้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า ๒. แสดงให้เห็นว่าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ ศูนย์รวมความศรัทธา พุทธศาสนิกชนทั่วไปทุกทิศจึงประสงค์มาห่มผ้าพระธาตุอย่างพร้อมเพรียงกัน


ประเพณีและวัฒนธรรม จังหวัดนครศรีธรรมราช


ประเพณีสารทเดือนสิบ

ความเป็นมา
ประเพณีสารทเดือนสิบวิวัฒนาการมาจากประเพณีเปตพลีของพราหมณ์ ซึ่งลูกหลานจัดขึ้น เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ต่อมาพวกพราหมณ์จำนวนมากได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและยังถือปฏิบัติในประเพณีดังกล่าวอยู่ พระพุทธองค์เห็นว่า ประเพณีนี้มีคุณค่า เป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษนำความสุขใจให้ผู้ปฏิบัติ จึงทรงอนุญาตให้อุบาสกอุบาสิกาประกอบพิธีนี้ต่อไปได้ ประเพณีสารทเดือนสิบมีมาตั้งแต่พุทธกาลคาดว่า เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาในนครศรีธรรมราชจึงรับประเพณีนี้มาด้วย

บ้างก็ว่าเป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ที่เชื่อว่าบรรพบุรุษอันได้แก่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม ๑ ค่ำเดือนสิบ คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง และจะกลับไปนรกในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ ในโอกาสนี้เองลูกหลานและผู้ยังมีชีวิตอยู่จึงนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที


วันเวลา จัดงาน
ช่วงเวลา ระยะเวลาของการประกอบพิธีสารทเดือนสิบมีขึ้นในวันแรม ๑ ค่ำถึงแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ แต่วันที่ชาวนครศรีธรรมราชนิยมทำบุญคือวันแรม ๑๓-๑๕ ค่ำ


ในส่วนของพิธีกรรมพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบ มีดังนี้
๑. การจัดหฺมฺรับ เริ่มในวันแรม ๑๓ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมซื้ออาหารแห้ง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และขนมที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ จัดเตรียมใส่หฺมฺรับ การจัดหฺมฺรับ คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหาร ขนมเดือนสิบลงในภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ถาด กาละมัง เข่ง กระเชอ เป็นต้น ชั้นล่างสุดบรรจุอาหารแห้ง ชั้นสองเป็นพืชผักที่เก็บไว้นาน ชั้นสามเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ขั้นบนสุด ประดับขนมสัญลักษณ์เดือนสิบ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมแต่ละชนิดมีความหมายดังนี้ ขนมลา เป็นเสมือนเสื้อผ้าที่ให้บรรพบุรุษใช้นุ่งห่ม ขนมพอง เป็นเสมือนแพที่ให้บรรพบุรุษข้ามห้วงมหรรณพ ขนมกง เป็นเสมือนเครื่องประดับ ใช้ตกแต่งร่างกาย ขนมบ้า เป็นเสมือนเมล็ดสะบ้า ไว้เล่นในวันตรุษสงกรานต์ ขนมดีซำ เป็นเสมือนเงินตรา ไว้ให้ใช้สอย
๒. การยกหฺมฺรับในวันแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะยกหฺมฺรับที่จัดเตรียมไว้ไปวัด และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วย โดยเลือกไปวัดที่อยู่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยมไป
๓. การฉลองหฺมฺรับและบังสุกุลเมื่อนำหมฺรับไปวัดแล้ว จะมีการฉลองหฺมฺรับ และทำบุญเลี้ยงพระเสร็จแล้วจึงมีการบังสุกุล การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปยังเมืองนรก
๔. การตั้งเปรตเสร็จจากการฉลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านจะนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณลานวัด ข้างกำแพงวัด โคนไม้ใหญ่ เรียกว่า ตั้งเปรต เพื่อแผ่ส่วนกุศลเป็นทานแก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติ หรือญาติไม่มาร่วมทำบุญให้ การชิงเปรตจะทำตอนตั้งเปรตเสร็จแล้ว เพราะเชื่อว่าถ้าหากใครได้กินของเหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ จะได้รับกุศลเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง บางวัดนิยมสร้างหลาเปรต เพื่อสะดวกแก่การตั้งเปรต บางวัดสร้างหลาเปรตไว้บนเสาสูงเพียงเสาเดียว เกลาและชะโลมน้ำมันเสาจนลื่น เมื่อเวลาชิงเปรตผู้ชนะคือผู้ที่สามารถปีนไปถึงหลาเปรตซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงสนุกสนานและตื่นเต้น


สาระสำคัญของประเพณีนี้
๑.เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ โดยรำลึกถึงคุณความดีของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
๒.เป็นโอกาสได้รวมญาติที่อยู่ห่างไกลได้มาพบปะซักถามสารทุกข์สุกดิบต่อกันและได้โอกาสทำบุญร่วมกัน
๓.เป็นการเก็บเสบียงอาหารมีทั้งพืชผักอาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูปจัดนำไปถวายในรูปหมรับหรือสำรับ เพื่อที่ทางวัดจะได้เก็บรักษาไว้เป็นเสบียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน
๔. เป็นการทำบุญในโอกาสที่ได้รับผลผลิตทางการเกษตรที่เริ่มออกผลเพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

เที่ยวเชิงเกษตร ชมและทำไม้ขุดล้อมแหล่งใหญ่ที่สุดของเมองไทย


ทริปนี้เราพาเข้าสวนลุยทำไม้ขุดล้อมพร้อมกับชื่นชมกับความภาคภูมิใจของการพึ่งพาตนเองของชาวบ้านทำไม้ขุดล้อม ที่หมู่บ้าน ชะอม โดยมีคุณป้าเจริญสุขและคุณลุงหม่อมชาวบ้านที่ทำไม้ขุดล้อมเป็นอาชีพหลักมาอย่างยาวนาน และเริ่มทำไม้ขุดล้อมในยุดแรก ๆ ช่วยแนะนำขั้นตอนต่าง ๆ ในสมัยก่อนนั้นการทำไม้ขุดล้อมยังไม่มีคนทำมากนัก มีเป็นบางบ้านเท่านั้นที่ทำเป็นอาชีพหลัก บริเวณตำบลชะอมแห่งนี้มีพื้นที่ปลูกไม้ขุดล้อมพันธุ์ต่างๆ มากจริง ๆ ครับ คุณป้าเจริญสุขเล่าให้เราฟังว่าสมัยก่อนชาวบ้านแถบ ตำบลชะอมก็จะมีอาชีพหลักก็คือการปลูกมันสำปะหลัง แต่รายได้ไม่ค่อยจะดีนัก เมื่อประมาณ ปี 2517 มีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาแนะนำเกี่ยวกับการทำไม้ขุดล้อม และช่วยสอนชาวบ้านในขั้นตอนการปลูกจนสามารถทำเป็นอาชีพได้ และเมือผลผลิตออกมาก็รับซื้อทั้งหมด จนชาวบ้านที่ปลูกเริ่มแรกมีรายได้ดีพอสมควร
ในช่วงแรกไม่มีคนปลูกมากนักมีเป็นบางครัวเรือนเท่านั้นต่อมาเมื่อเห็นว่ารายได้ดีกว่าการทำมันสำปะหลัง จึงหันมาทำไม้ขุดล้อมกันเยอะมากขึ้น จนกลายเป็นอาชีพหลักประจำตำบลชะอมแห่งนี้ในปัจจุบัน ซึ่งทำกันแทบทุกครัวเรือนเมื่อมีชาวบ้านทำกันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ชาวบ้านจึงรวมตัวกันหาตลาดเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆและสามารถขยายตลาดสู่ทุกภูมิภาคของไทยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเองที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากและน่าจะนำแบบอย่างไปใช้ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคของเมืองไทยครับ (ขอยกนิ้วให้เลยครับ ชาว ตำบลชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี)ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งชาวบ้าน 17 หมู่บ้าน กว่า 290 ครัวเรือนในตำบลชะอมแห่งนี้ทำการปลูกขายไม้ขุดล้อมกันเป็นอาชีพหลัก นับว่าเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ขุดล้อมขนาดกลาง และใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นแหล่งส่งออกที่สำคัญทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อีกด้วย
เมื่อเราข้าไปชมสวนไม้ขุดล้อมของคุณป้าเจริญสุข เราก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์เย็นสบายเป็นที่สุด มีต้นไม้ขุดล้อมในเนื้อที่กว่า 70 ไร่ สัมผัสกับชีวิตชาวสวนไม้ขุดล้อมที่แสนจะน่ารักและเป็นกันเอง รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความอื้ออาทรต่อกันของชาวสวน ทำให้เราได้สัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก คุณป้าเจริญสุขและคุณลุงหม่อมท่านใจดีมาก ๆ สนุกสนาน เพลิดเพลินและเหนื่อยกับการขุดต้นไม้ไปตาม ๆกัน แต่ก็สุดคุ้มครับทุกท่านการทำไม้ขุดล้อม หรือไม้ล้อมที่ชาวบ้านทำนั้น คือต้นไม้พันธุ์ที่มีลำต้นเดี่ยวไม่พึ่งพิงกับต้นไม้อื่น ทั้งต้นใหญ่ และเล็ก ปลูกลงดินตามปกติ โดยจะบำรุงใส่ปุ๋ยเล็กน้อยเท่านั้น แล้วทิ้งระยะเวลาไว้ช่วงหนึ่ง หรือให้ได้ขนาดลำต้นตามที่ต้องการโดยส่วนมากไม้ขุดล้อมจะมีอายุอย่างน้อย 1 ปี เมือต้นได้ตามขนาดที่ต้องการหรือตามที่ลูกค้าสั่ง ก็ขุดขึ้นมา ทั้งต้น โดยแหล่งพันธุ์ไม้ที่ปลูกก็จะนำมาจาก อำเภอภาชี จังหวัดอยุธยา ครับ
การขุดพันธุ์ไม้จะมีอยู่ 2 แบบคือ
1. การขุดแทงยกขึ้นมาการทำลักษณะนี้เหมาะสำหรับไม้เนื้ออ่อนโดยจะขุดขึ้นมาทั้งต้นโดยจะไม่ทำการล้อมตัวรากทั้งหมดไว้ก่อนเมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็จะใช้แสลมหรือกระสอบห่อหุ้มตัวรากเพื่อยกออกไปด้านนอกถ้าต้นขนาดใหญ่จะใช้ยางรถยนต์เก่าช่วยพยุงไว้ หรือถ้าต้นเล็ก ก็จะใส่ถุงดำไว้
แบบที่ 2. การขุดแบบล้อมหมักไว้ก่อนคือทำการขุดรอบต้นในครั้งแรกโดยจะใช้แสลมห่อหุ้มพวงรากไว้ทั้งหมดที่ขุดขึ้นมา แล้วก็ถมดินหมักไว้ดังเดิมเพื่อรอการขุดต่อไป การล้อมหมักไว้แบบนี้จะทำให้ได้ต้นพันธุ์ที่แข็งแรงและสมบูรณ์และขนาดลำต้นใหญ่ การทำลักษณะนี้จะได้ขนาดต้นพอเหมาะไม่ใหญ่มากจนเกินไป จนนำมาซึ่งการเรียกว่า ไม้ขุดล้อม และเมื่อขุดพันธุ์ไม้ขึ้นไปแล้วก็จะทำการตัดแต่งกิ่งคือตัดส่วนที่มีใบออกทั้งหมดเพื่อให้แตกออกมาใหม่ และนำไปตั้งไว้ในสถานที่ที่จัดไว้ ทำการรดน้ำใส่ปุ๋ยตามปกติ สาเหตุที่ต้องตัดแต่งกิ่งก็เพราะไม่ให้ต้นไม้ใหญ่จนเกินไป
ในปัจจุบันจะมีพันธุ์ไม้หลายชนิดที่ปลูกไว้เพื่อมาทำไม้ขุดล้อมมากมายหลายชนิด อาทิ อินทนิล ตะแบก ราชพฤกษ์ นนทรี พญาสัตบัน เหลืองสิรินธร คูน ประดู่ หางนกยุง เป็นต้น ถือว่าการทำไม้ขุดล้อมมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรกว่าจะได้จำหน่ายถือว่าต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ขอยกย่องชาวสวนไม้ขุดล้อมใน ต.ชะอม ด้วยนะครับเก่งและมีความอดทนมากครับ การเที่ยวเชิงเกษตรของเราทริปนี้ถือว่าคุ้มครับได้ทั้งความสนุกสานานเพลิดเพลินได้ทั้งความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงอีกด้วย ได้สัมผัสกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์ เป็นการเที่ยวที่ออกรสชาติพอสมควรครับ ถ้าท่านนึกไม่ออกว่าไม้ขุดล้อมเป็นอย่างไร ท่านก็ดูได้ตามข้างถนนหลวงต่าง ๆ ทั่วเมืองไทย จะมีการปลูกพันธุ์ไม้ต่าง ๆ จากแหล่งไม้ขุดล้อมของที่นี่กันทั้งนั้นครับเช่นต้นคูณ, ต้นตีนเป็ด,ต้นรีราวดี และอีกมากมายหลายพันธุ์ นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับเป็นต้นไม้ในการประดับสวนในที่ต่าง ๆ อีกด้วยเพราะต้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก

บูชารอยพุทธบาทล้ำค่า พลังแห่งศรัทธาบนเทือกเขาสุวรรณบรรพต


ภายในวัดพระพุทธบาทสวยงามด้วยศิลปกรรมประดับชั้นเยี่ยมที่น่าหลงใหลเป็นอย่างมาก ถนนเข้าไปยังวัดสวยงามสะอาด ประดับเสาไฟ ดอกไม้นานาชนิด สะอาดสวยงาม มีลานจอดรถสะดวกสบาย ตรงประตูทางเข้ามียักษ์เฝ้าประตู สวยงามน่าดูชม บริเวณด้านหน้าวัดจัดเป็นอาคารเปิดบริการอาหารเครื่องดื่มมากมายหลายเมนู โดยเฉพาะของดีเมืองสระบุรี คือขนมกะหรี่ปั๊บ มีอยู่หลายร้าน และกลุ่มของฝากอีกหลายชนิด ก่อนกลับเราสามารถแวะซื้อหาเอาไปฝากทางบ้านกันได้สบาย ราคาเป็นกันเอง มีเจ้าหน้าที่ดูแลคอยอำนวยความสะดวกเราอย่างทั่ว ถึง
รอยพระพุทธบาทตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระพุทธบาทค้นพบโดยพรานบุญในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองกรุงศรีอยุธยาระหว่างปี พ.ศ. 2153 -2167 กว้าง 21 นิ้ว ยาว 60 ลึก 11 นิ้ว มีหลักฐานในพงศาวดารของไทยว่า พระเถระจากอยุธยาไปนมัสการพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏ และได้รับคำแนะนำจาก พระเถระในลังกาว่าในไทยเองก็มีรอยพระพุทธบาทอันแท้จริงซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับประทานไว้เช่นกัน สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงมีพระดำรัสให้ทำการค้นหา จนพบในที่สุด
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทตามลักษณะ 108 ประการจึง โปรดให้สร้างพระมณฑปน้อยครอบรอยพระพุทธบาท โดยมีมณฑปใหญ่ครอบอีกชั้นหนึ่ง สถาปนาขึ้นเป็น มหาเจดีย์สถาน ทรงอุทิศเนื้อที่โยชน์หนึ่งโดยรอบพระพุทธบาทถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับบำรุงพระพุทธบาท โปรดเกล้า ฯ ให้ตัดถนนหนทาง และสร้างอารามวัตถุอื่นๆ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาเปรียญ และเสนาสนสงฆ์เป็นต้น ซึ่งเป็นศิลปะตั้งแต่สมัย อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ และยังพบรอยจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ที่ก้อนหินขนาดใหญ่ สูงจากพื้น 160 เซนติเมตร เมื่อครั้นเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาท อีกด้วย
พระมณฑปได้มีการก่อสร้างต่อเติมมาหลายสมัย ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบเครื่องยอดรูปปราสาท 7 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีซุ้มบันแถลงประดับทุกชั้น มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองประดับกระจกโดยรอบฝาผนังด้านนอกปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพพนม พุ่มข้าวบิณฑ์บานประตูพระมณฑปเป็นงานศิลปกรรมประดับมุกชั้นเยี่ยมของเมืองไทย พื้นภายในปูด้วยเสื่อเงินสาน ทางขึ้นพระมณฑปเป็นบันไดนาคสามสายซึ่งหมายถึง บันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว ที่ทอดลงจากสวรรค์หัวนาคที่เชิงบันไดหล่อด้วยทองสำริด เป็นนาค 5 เศียร บริเวณรอบพระมณฑปมีระฆังแขวนเรียงราย เพื่อให้ผู้ที่มานมัสการได้ตีแผ่ส่วนกุศลแก่เพื่อนชาวโลกทั้งหลาย

ท่องน้ำตกสระบุรื ที่เจ็ดสาวน้อย



จังหวัดสระบุรี เป็นอีกจังหวัดที่มีธรรมชาติใกล้เมืองกรุง ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่อึดใจ ท่านก็จะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สมบูรณ์ของพื้นป่าที่เขียวชอุ่มที่มีตลอดทั้งปี เย็นฉ่ำกับสายน้ำที่ใสสะอาด และ กิจกรรมพักผ่อนมากมาย ทริปนี้ เราพาเข้าป่าชมไพรท่องน้ำตกสระบุรี ที่น้ำตกเจ็ดสาวน้อย แห่ง อ.มวกเหล็ก ซึ่งเป็นน้ำตก ที่ มีความสวยงามตามธรรมชาติ อีกแห่งหนึ่ง ในอาณาจักรพื้นป่าเขาใหญ่ ป่ากลางเมือง ครับ

วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อยมีเนื้อที่ 540 ไร่ เป็นที่ตั้งของน้ำตกเจ็ดสาวน้อยซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สวยงาม เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะเดินทางสะดวกสบาย เพียง ประมาณ 1 ชั่วโมง จากกรุงเทพ ก็สามารถเล่นน้ำตกท่องไพรธรรมชาติกันได้แบบสบายครับ นอกจากนั้นยังสามารถขับรถเข้าไปได้ถึงตัวน้ำตกได้อีกด้วย ทางด้านในบริเวณน้ำตก มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบถ้วน มีร้านขายอาหารเครื่องดื่มนับสิบร้าน โดยเฉพาะส้มตำไก่ย่าง และมีเมนูอร่อยอีกมากมาย ราคาเป็นกันเองนอกจากนั้นในบริเวณอุทยาน มีบ้านพักเราสามารถพักแรมได้อีกด้วย หรือจะพักแบบกางเต้นท์ก็สามารถทำได้เขาจัดพื้นที่พร้อม มีห้องน้ำ,ห้องอาบน้ำ มีซุ้มที่นั่งทานอาหารพักผ่อนรายรอบด้านข้างตัวน้ำตก หรือจะปูเสื่อก็ทำได้สบายมีพื้นราบแข็งมากมายก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ครับ มีห่วงยางให้เช่าเล่นน้ำพร้อมสรรพ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อล่องแก่งเรือยาง เรือคยัก และรถ ATV ได้อีกด้วย

ตามตำนานเล่าขานกันมาว่า มีหญิงสาวเจ็ดคนมาเล่นน้ำที่น้ำตกแห่งนี้แล้วจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกัน เป็นที่มาของชื่อน้ำตก มีการตั้งศาลเพียงตาขึ้นที่น้ำตกชั้นที่ 4 เรียกว่าศาลเจ้าแม่ทรายทอง บ้างก็ว่าเดิมทางเหนือของน้ำตกมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อบ้านเสาน้อย ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนเป็นสาวน้อย


น้ำตกเจ็ดสาวน้อยตั้งอยู่ในเขตตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก ทางเข้าทางเดียวกับน้ำตกมวกเหล็ก เป็นทางลาดยางต่อไปอีก 9 กิโลเมตร จัดตั้งเป็นวนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 อยู่ในท้องที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ลำน้ำมวกเหล็ก เป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลตลอดปี ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร มีเกาะแก่งที่ไม่สูงมากนัก ลดหลั่นกันไปเป็นทอด ๆ ตัวน้ำตก ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าโปร่ง มีต้นน้ำมาจากผืนป่าอันอุดมใน อช. เขาใหญ่ เป็นน้ำตกเตี้ยๆ มีเจ็ดชั้น แต่ละชั้นสูง 2-5 ม. จากน้ำตกชั้นที่ 1 เดินลงไปถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที สายน้ำไหลลดหลั่นลงไปเป็นธารน้ำตกกว้างคล้ายแก่งขนาดใหญ่ มีแอ่งน้ำตื้นๆ ให้ลงเล่นน้ำหลายแห่ง บางชั้นก็มีน้ำตกเป็นชั้นเล็กๆ แยกย่อยไปอีก นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้ ทางวนอุทยานฯ ได้จัดทำเส้นทางเดินเลียบน้ำตกเป็นทางซีเมนต์ลงไปถึงน้ำตกชั้นที่ 5 จากนั้นเป็นทางดินถึงน้ำตกชั้นที่ 7 มีป้ายบอกชั้นน้ำตกและป้ายเตือนตามจุดอันตราย เช่น ด้านหน้ามีโขดหิน ห้ามกระโดดน้ำ ฯลฯ น้ำตกทุกชั้นสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย ยกเว้นน้ำตกชั้นที่ 3 ซึ่งมีแอ่งน้ำลึกตรงหน้าแก่ง มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง น้ำตกชั้นที่สูงที่สุดและสวยที่สุดคือชั้นที่ 4 สูงราว 3 ม. มีแอ่งน้ำใหญ่กว้างขวางให้ลงเล่น ส่วนผู้ที่ชอบความสงบให้เดินต่อไปยังน้ำตกชั้นที่ 5-7 เพราะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่ชั้นที่ 6 และ 7 กระแสน้ำค่อนข้างแรง ไม่ควรลงเล่นน้ำ ด้านหลังห้องน้ำสาธารณะมีสะพานแขวนข้ามธารน้ำตก เป็นจุดชมความสวยงามของน้ำตกชั้นที่ 1-4 ได้ชัดเจน




เราเริ่มด้วยตำนานบทแรก คือตำนานเสาร้องให้ เมือประมาณปี 2501 ในคืนแห่งความมืดวันหนึ่ง นางเฉลียว จันทร์ประสิทธิ์ชาวบ้านผู้ใจบุญ ได้ฝันว่ามีหญิงคนหนึ่ง รูปร่างเลือนรางบอกว่าเป็นนางไม้ประจำเสาที่จมน้ำอยู่ ให้บอกสามีเอาเสาขึ้นมาจากน้ำด้วย นายเผ่าผู้เป็นสามีก็ไม่เชื่อ มีคน เล่าต่อกันมาว่า นางไม้ของเสาต้นนี้ได้ไปเข้าทรงกับผู้อื่นอีกหลายครั้งจนในที่สุดชาวบ้านหลายคนก็ได้ไปร้องขอให้นายเผ่าเอาเสาต้นนี้ขึ้นมาให้ได้ ตามคำล่ำลือ จนนำมาสู่การนำเอาเสาขึ้นมาจากน้ำ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2501 และในวันนี้เอง ได้รับคำลอกเล่าจากนายจำลอง ขาววรรณะ ว่า ในวันที่ 23 เมษายน 2501 แดดร้อนจัดมากขณะที่กำลัง นำเสาขึ้นจากน้ำ ฉับพลันท้องฟ้าก็มืดครื้มไปหมดทันที มีเสียงฝ่าผ่าดังมากเป็นประกายสีเขียวไปทั่ว เสียงฟ้าร้องคำรามทำท่าคล้ายฝนจะตก ทำให้ผู้คนที่มาเข้าร่วมพิธีกันเป็นจำนวนมากต่างตื่นตาตื่นใจและดีใจกันทั่วหน้าที่สามารถนำเสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจากน้ำได้ในที่สุด

มีคำบอกเล่าต่อกันมาว่าเสาตะเคียนต้นนี้ เป็นเสาที่จะนำไปเป็นเสาเอกในสมัยสร้างกรุงเทพเป็นราชธานี โดยถูกส่งลอยน้ำมาในแม่น้ำป่าสัก แต่การเดินทางช้าไป ทางกรุงเทพจึงได้เลือกเสาต้นอื่นเป็นเสาเอกแทน เสาต้นนี้จึงลอยทวนน้ำมาจมอยู่บริเวณคุ้งน้ำป่าสัก อ.เสาไห้ และในยามค่ำคืนมักมีชาวบ้านได้ยินเสียงร้องให้ขึ้นมาจากท้องน้ำป่าสัก จึงกลายมาเป็นตำนานเสาร้องให้ซึ่งชาวอ.เสาไห้เชื่อว่าเป็นเสียงร้องจากเจ้าแม่ตะเคียนทอง เป็นเรื่องเล่าและความเชื่อมาจนถึงทุกวันนี้
ในวันที่ 23 เมษายน 2501 เป็นวันที่เชิญเสาไปประดิษฐานที่วัดสูง เวลา 9.00 น. เริ่มพิธีเคลื่อนเสาไปสู่วัดสูง โดยตั้งศาลสูงเพียงตา มีหัวหมูซ้ายขวา บายศรี 3 ชั้น ใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกที่เสาแล้วใช้เชือกผูกแพที่รับเสาไห้ประชาชนดึง เมื่อได้ฤกษ์ พระสงฆ์ 9 รูปเจริญชัยมงคลคาถา ประชาชนที่อยู่บนฝั่งหน้าที่ว่าการอำเภอเสาไห้ก็ดึงเชือกแพลูกบวบให้เคลื่อนไปทางทิศตะวันออก มีเรือแตรวงนำขบวน มีเรือต่างๆร่วมขบวนอีกเป็นจำนวนมาก
เมื่อได้เคลื่อนแพเสามาถึงท่าถนนข้างโรงสีเสาไห้แล้ว ก็ใช้เกวียน 4 เล่ม ผูกเสาไว้ใต้เกวียนแล้วมัดยอดเสาไห้พ้นดินเล็กน้อย ผูกด้วยเชือกโยงเรือขนาดใหญ่มัดจากเกวียนไปให้ถึงประชาชนเสาก็เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยดี เมื่อขบวนมาถึงใกล้ศาลเจ้าพ่อซึ่งอยู่ทางแยกเข้าวัดสูงนั้น แม้จะดึงฉุดอย่างไรเกวียนก็ไม่ยอมเคลื่อนที่ทั้งที่ถนนราบเรียบ จึงได้พยายามแก้ไขจนเสียเวลาไปถึง 2 ชั่วโมง นายเผ่า จันทร์ประสิทธิ์ ก็ระลึกได้ว่า เมื่อนางไม้เริ่มเข้าทรงครั้งแรกนั้นได้บอกเพียงว่าใช้สายสิญจน์ให้ประชาชนดึงแทนเชือก จึงได้เปลี่ยนมาใช้ด้ายสายสิญจน์แทนเชือกใหญ่ ขบวนเกวียนก็สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างง่ายดายเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก 10 นาทีก็ถึงวัดสูง เมื่อเวลา 14.30 น. บังเกิดความประหลาดใจโดยทั่วกัน จากนั้นก็นำเสาประดิษฐานไว้ที่ศาลชั่วคราว

หลวงพ่อปากแดง


หลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 1 เมตร เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง จีวรเป็นลายดอกพิกุล พระโอษฐ์แย้มทาสีแดงเห็นชัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า หลวงพ่อปากแดง สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกันพระครูโสภณพรหมคุณ หรือ หลวงพ่อตึ๋ง เจ้าอาวาสวัดพราหมณี เล่าว่า ตำนานเชื่อกันว่าหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่างๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดพักยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณีปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งต่อมา หลวงพ่อปากแดง ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จ.นครนายก จนทุกวันนี้


ดอยสุเทพ



ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผาชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือเวียงพิงค์ ก่อตั้งโดยพญามังรายมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายเมื่อพ.ศ. 1839 ราชวงศ์นี้ได้ปกครองต่อมาอีก 200 ปี เมืองนี้จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในปีพ.ศ. 2101 ต่อมาในปีพ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินมหาราชมาขับไล่พม่าจนพ่ายแพ้ไป เชียงใหม่จึงรวมเข้าในอาณาจักรสยามนับแต่นั้นมา ต่อมาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช และเมื่อมีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเชียงใหม่เปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลพายัพ และเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเชียงใหม่นับเป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่รวบรวมศิลปกรรม โบราณวัตถุ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาไทยเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นป่าละเมาะและภูเขา มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง



เครื่องสแกนลายนิ้วมือ

เครื่องสแกนลายนิ้วมือ (finger scan หรือ fingerprint scanner) เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลลายนิ้วมือ มาเป็นข้อมูลดิจิทัล

การใช้งาน
เครื่องสแกนลายนิ้วมือ ได้รับการย้อมรับอย่างกว้างขวาง ในทุกวงการ เช่น ด้านระบบรักษาความปลอดภัย บันทึกเวลาทำงาน ระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฏร์ เป็นต้น จุดประสงค์หลักของการใช้เครื่องสแกนลายนิ้วมือได้แก่
การพิสูจน์ตัวตน โดยอาศัยหลักการที่ว่าลายนิ้วมือทุกคนมีความแตกต่างกัน
การทดแทนการใช้บัตร เช่น
บัตร ATM, Credit card, Smart card



ฟิวส์



ฟิวส์ชนิดหลอด
ฟิวส์ (fuse) เป็นอุปกรณ์นิรภัยชนิดหนึ่งที่อยู่ใน
เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยจะป้องกันการลัดวงจร และการใช้กระแสเกินในวงจรไฟฟ้า โดยจะหลอมละลาย และตัดกระแสไฟออกจากวงจรเพื่อป้องการอุปกรณ์เสียหาย โดยฟิวล์จะเป็นเส้นลวดเล็ก ๆ ทำจากตะกั่วผสมดีบุก มีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ มีหลายชนิดให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
ของการใช้งาน เช่น

ชนิดของฟิวส์
ฟิวส์ชนิดอยู่ในหลอดแก้ว เป็นฟิวส์ที่ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็ก ๆ โดยตัวฟิวส์จะอยู่ในหลอดแก้วภายในจะบรรจุก๊าซช่วยดับไฟ และดับการสปากของไฟ
ฟิวส์ชนิดก้ามปู
ฟิวส์ชนิดเส้น
ฟิวส์ชนิดกระเบื้อง
ฟิวส์อิเล็กทรอนิกส์หรือเซอกิตเบรกเกอร์
โดยฟิวส์แต่ละชนิดก็ทำงานแตกต่างกันไปตามการใช้งาน

การเลือกใช้ฟิวส์
ในการเลือกใช้ฟิวส์จะต้องเลือกตามค้าแอมป์ที่ฟิวส์จะทนได้ เช่น ฟิวส์ 1A จะทนไฟได้ 1A เป็นต้น โดยวิธีคิดไม่ให้ใช้เกินคือให้นำค่า
โวลต์ x วัต = ขยาดของฟิวส์ที่ต้องใช้มีหน่วยเป็น แอมป์

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์




ทรานซิสเตอร์

ทรานซิสเตอร์หลายๆแบบ
ทรานซิสเตอร์เป็น
อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่สามารถทำหน้าที่ ขยายสัญญาณไฟฟ้า เปิด/ปิดสัญญาณไฟฟ้า คงค่าแรงดันไฟฟ้า หรือกล้ำสัญญาณไฟฟ้า (modulate) เป็นต้น การทำงานของทราสซิสเตอร์เปรียบได้กับวาลว์ที่ถูกควบคุมด้วยสัญญาณไฟฟ้าขาเข้า เพื่อปรับขนาดกระแสไฟฟ้าขาออกที่มาจากแหล่งจ่ายแรงดัน
ความสำคัญ
ทรานซิสเตอร์ถือว่าเป็นหนึ่งในการประดิษฐ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ เฉกเช่น การพิมพ์
รถยนต์ และโทรศัพท์ ทรานซิสเตอร์ถือว่าเป็นอุปกรณ์แบบแอ็คทีฟหลักในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ความสำคัญของทรานซิสเตอร์ในทุกวันนี้เกิดจากการที่มันสามารถถูกผลิตขึ้นด้วยกระบวนการอัตโนมัติในจำนวนมากๆ (fabrication) ในราคาต่อชิ้นที่ต่ำแม้ว่าทรานซิสเตอร์แบบตัวเดียว (Discrete Transtor)หลายล้านตัวยังถูกใช้อยู่แต่ทรานซิสเตอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นบนไมโครชิป (Micro chip) หรือเรียกว่าวงจรรวม พร้อมกับไดโอด ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุเพื่อประกอบกันเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ วงจรอนาลอก ดิจิทัล หรือวงจรสัญญาณผสม (Mixed Signal) ถูกสร้างขึ้นบนชิปตัวเดียวกัน ต้นทุนการออกแบบและพัฒนาวงจรรวมที่ซับซ้อนนั้นสูงมากแต่เนื่องจากการผลิตที่ละมากๆ ในระดับล้านตัวทำให้ราคาต่อหน่วยของวงจรรวมนั้นต่ำ
วงจรตรรกะ (Logic Gate) ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ประมาณ 20 ตัว ในขณะที่หน่วยประมวลผล(Microprocessor) ล่าสุดของปี ค.ศ. 2005 ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ราว 289 ล้านตัวเนื่องด้วยราคาที่ถูก ความยืดหยุ่นในและความเชื่อถือได้ในการทำงาน ทรานซิสเตอร์จึงเปรียบเหมือนอุปกรณ์ครอบจักรวาลในงานที่ไม่ใช่งานกล เช่น คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล เป็นต้น
วงจรที่ทำงานด้วยทรานซิสเตอร์ยังได้เข้ามาทดแทนอุปกรณ์เชิงกล-ไฟฟ้า (Electromechanical) สำหรับงานควบคุมเครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องจักรต่างๆ เพราะมันมีราคาถูกกว่าและการใช้วงจรรวมสำเร็จรูปร่วมกับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นมีประสิทธิภาพในใช้งานเป็นระบบควบคุมดีกว่าการใช้อุปกรณ์เชิงกลเนื่องด้วยราคาที่ถูกของทรานซิสเตอร์และการใช้งานคอมพิวเตอร์แบบดิจิทัลที่เกิดขึ้นต่อมาก่อให้เกิดแนวโน้มการสร้างข้อมูลในเชิงเลข (Digitize information)
ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มากด้วยความสามารถในการค้นหา จัดเรียงและประมวลผลข้อมูลเชิงเลข และทำให้มีความพยายามมากมายเพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างข้อมูลแบบดิจิทัล สื่อหลายๆ ประเภทในปัจจุบันถูกส่งผ่านรูปแบบของดิจิทัลโดยนำมาแปลงและนำเสนอในรูปแบบอนาลอกด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ การปฏิวัติทางดิจิทัลเช่นนี้ส่งผลกระทบสื่อเช่น โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์

ประเภทของทรานซิสเตอร์

ทรานซิสเตอร์แบบรอยต่อคู่ (Bipolar junction transistor)
ทรานซิสเตอร์แบบรอยต่อคู่ (BJT) เป็นทรานซิสเตอร์ชนิดหนึ่ง มันเป็นอุปกรณ์สามขั้วต่อถูกสร้างขึ้นโดยวัสดุสารกึ่งตัวนำที่มีการเจือสารและอาจจะมีการใช้ในการขยายสัญญาณหรืออุปกรณ์สวิทชิ่ง ทรานซิสเตอร์แบบรอยต่อคู่ถูกตั้งขึ้นมาตามชื่อของมันเนื่องจากช่องการนำสัญญาณหลักมีการใช้ทั้งอิเล็กตรอนและโฮลเพื่อนำกระแสไฟฟ้าหลัก โดยแบ่งออกได้อีก2ชนิดคือ ชนิดเอนพีเอน(NPN) และชนิดพีเอนพี(PNP) ตามลักษณะของการประกบสารกึ่งตัวนำ

ทรานซิสเตอร์แบบสนามไฟฟ้า (Field-effect transistor)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้
ทรานซิสเตอร์แบบสนามไฟฟ้า(FET) มีขาต่อสามขา คือ ขา เดรน(drain) เกท(gate) ซอร์ส(source) หลักการทำงานแตกต่างจากทรานซิสเตอร์แบบหัวต่อไบโพลาร์(BJT) นั่นคืออาศัยสนามไฟฟ้าในการสร้างช่องนำกระแส(channel) เพื่อให้เกิดการนำกระแสของตัวทรานซิสเตอร์ ในแง่ของการนำกระแส
ทรานซิสเตอร์แบบสนามไฟฟ้าและแบบหัวต่อไบโพลาร์มีลักษณะของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน นั่นคือกระแสในทรานซิสเตอร์แบบหัวต่อไบโพลาร์จะเป็นกระแสที่เกิดจากพาหะส่วนน้อย(minor carrier) แต่กระแสในทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าจะเกิดจากพาหะส่วนมาก(major carrier)
ทรานซิสเตอร์แบบสนามไฟฟ้าฟ้าแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

- JFET
- MESFET
-
MOSFET ซึ่งแบ่งเป็นสองแบบคือ แบบ depletion และ enhancement
ทรานซิสเตอร์แบบสนามไฟฟ้าประเภทที่นิยมใช้กันมากที่สุดในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ คือ
MOSFET

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์



รีเลย์


รีเลย์ (อังกฤษ: Relay) คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่ ตัด-ต่อวงจร คล้ายกับสวิตซ์ โดยใช้หลักการหน้าสัมผัส และการที่จะให้มันทำงานก็ต้องจ่ายไฟให้มันตามที่กำหนด เพราะเมื่อจ่ายไฟให้กับตัวรีเลย์ มันจะทำให้หน้าสัมผัสติดกัน กลายเป็นวงจรปิด และตรงข้ามทันทีที่ไม่ได้จ่ายไฟให้มัน มันก็จะกลายเป็นวงจรเปิด ไฟที่เราใช้ป้อนให้กับตัวรีเลย์ก็จะเป็นไฟที่มาจาก เพาเวอร์ฯ ของเครื่องเรา ดังนั้นทันทีที่เปิดเครื่อง ก็จะทำให้รีเลย์ทำงาน

ประเภทของรีเลย์
เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์มีหลักการทำงานคล้ายกับ ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าหรือโซลินอยด์ (solenoid) รีเลย์ใช้ในการควบคุมวงจร ไฟฟ้าได้อย่างหลากหลาย รีเลย์เป็นสวิตช์ควบคุมที่ทำงานด้วยไฟฟ้า แบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 2 ประเภทคือ
รีเลย์กำลัง (Power relay) หรือมักเรียกกันว่า
คอนแทกเตอร์ (Contactor or Magneticcontactor)ใช้ในการควบคุมไฟฟ้ากำลัง มีขนาดใหญ่กว่ารีเลย์ธรรมดา
รีเลย์ควบคุม (Control Relay) มีขนาดเล็กกำลังไฟฟ้าต่ำ ใช้ในวงจรควบคุมทั่วไปที่มีกำลังไฟฟ้าไม่มากนัก หรือเพื่อการควบคุมรีเลย์หรือคอนแทกเตอร์ขนาดใหญ่ รีเลย์ควบคุม บางทีเรียกกันง่าย ๆ ว่า "รีเลย์"
ชนิดของรีเลย์

การแบ่งชนิดของรีเลย์สามารถแบ่งได้ 11 แบบ คือ
ชนิดของรีเลย์แบ่งตามลักษณะของคอยล์ หรือ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน (Application) ได้แก่รีเลย์ดังต่อไปนี้


รีเลย์กระแส (Current relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยใช้กระแสมีทั้งชนิดกระแสขาด (Under- current) และกระแสเกิน (Over current)
รีเลย์แรงดัน (Voltage relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยใช้แรงดันมีทั้งชนิดแรงดันขาด (Under-voltage) และ แรงดันเกิน (Over voltage)
รีเลย์ช่วย (Auxiliary relay) คือ รีเลย์ที่เวลาใช้งานจะต้องประกอบเข้ากับรีเลย์ชนิดอื่น จึงจะทำงานได้
รีเลย์กำลัง (Power relay) คือ รีเลย์ที่รวมเอาคุณสมบัติของรีเลย์กระแส และรีเลย์แรงดันเข้าด้วยกัน
รีเลย์เวลา (Time relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ


- รีเลย์กระแสเกินชนิดเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time over current relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาทำงานเป็นส่วนกลับกับกระแส
- รีเลย์กระแสเกินชนิดทำงานทันที (Instantaneous over current relay) คือรีเลย์ที่ทำงานทันทีทันใดเมื่อมีกระแสไหลผ่านเกินกว่าที่กำหนดที่ตั้งไว้
- รีเลย์แบบดิฟฟินิตไทม์เล็ก (Definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาการทำงานไม่ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของกระแสหรือค่าไฟฟ้าอื่นๆ ที่ทำให้เกิดงานขึ้น
- รีเลย์แบบอินเวอสดิฟฟินิตมินิมั่มไทม์เล็ก (Inverse definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยรวมเอาคุณสมบัติของเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time) และ แบบดิฟฟินิตไทม์แล็ก (Definite time lag relay) เข้าด้วยกัน
รีเลย์กระแสต่าง (Differential relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยอาศัยผลต่างของกระแส
รีเลย์มีทิศ (Directional relay) คือรีเลย์ที่ทำงานเมื่อมีกระแสไหลผิดทิศทาง มีแบบรีเลย์กำลังมีทิศ (Directional power relay) และรีเลย์กระแสมีทิศ (Directional current relay)

รีเลย์ระยะทาง (Distance relay) คือ รีเลย์ระยะทางมีแบบต่างๆ ดังนี้
- รีแอกแตนซ์รีเลย์ (Reactance relay)


- อิมพีแดนซ์รีเลย์ (Impedance relay)
- โมห์รีเลย์ (Mho relay)
- โอห์มรีเลย์ (Ohm relay)
- โพลาไรซ์โมห์รีเลย์ (Polaized mho relay)
- ออฟเซทโมห์รีเลย์ (Off set mho relay)
รีเลย์อุณหภูมิ (Temperature relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้
รีเลย์ความถี่ (Frequency relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานเมื่อความถี่ของระบบต่ำกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งไว้
บูคโฮลซ์รีเลย์ (Buchholz ‘s relay) คือรีเลย์ที่ทำงานด้วยก๊าซ ใช้กับหม้อแปลงที่แช่อยู่ในน้ำมันเมื่อเกิด ฟอลต์ ขึ้นภายในหม้อแปลง จะทำให้น้ำมันแตกตัวและเกิดก๊าซขึ้นภายในไปดันหน้าสัมผัส ให้รีเลย์ทำงาน
ดึงข้อมูลจาก "

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การใช้คอมพิวเตอร์



10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาที่เกิดขี้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีตั้งแต่เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงความบกพร่องอย่างร้ายแรงที่จะทำให้งานของเราที่อุตส่าห์ทำเป็นเดือนๆ หายไปได้ในพริบตา หรือไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นได้อีกเลย วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์นั้นก็คือ ป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ขั้นตอนในการป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการเก็บข้อมูลความสำคัญมากๆ ในเรื่องของการเก็บข้อมูล คือ ไม่ให้มีอุบัติเหตุซึ่งจะทำให้มันมีค่าที่สุด ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เป็นอุปกรณ์ที่แพงที่สุดในเครื่องของเราก็ตามเป้าหมายของการป้องกันคือ เก็บข้อมูลของเราให้ปลอดภัย มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552



สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง

1. สาหร่ายเซลเดียว มีความสำคัญต่อชีวิตในแนวปะการังอื่นๆ เพราะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตธาตุอาหารเบื้อต้นด้วยการสังเคราะห์แสงจากพลังงานแสดงอาทิตย์สาหร่ายเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้แก่ ตัวปะการัง และแพลงก์ตอน
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง
1. สาหร่ายเซลเดียว มีความสำคัญต่อชีวิตในแนวปะการังอื่นๆ เพราะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตธาตุอาหารเบื้อต้นด้วยการสังเคราะห์แสงจากพลังงานแสดงอาทิตย์สาหร่ายเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้แก่ ตัวปะการัง และแพลงก์ตอน

2. หญ้าทะเล เจริญเติบโตได้ดีในแนวปะการังที่ราบเรียบ และบริเวณชายฝั่งทะเลหญ้าทะเลเป็นอาหารของเต่าทะเลพะยูนและปลาบางชนิด นอกจากนี้รากของหญ้าทะเลยังช่วยในการป้องกันการกัดเซาะหน้าดินอีกด้วย
3. ฟองน้ำ เป็นสัตว์น้ำหลายเซลมีขนาดต่างๆ กัน ทั้งลักษณะและรูปร่างสีสัน บางชนิดเป็นรูปด้วยเป็นก้อน เป็นแผ่นบางๆ และบางชนิดมีสีสันสดสวยงดงามมาก ฟองน้ำทำหน้าที่ผลิตสารที่มีคุณค่าให้แก่เพรียง หญ้าทะเล สัตว์น้ำอื่นและฟองน้ำบางชนิดยังเป็นอาหารของมนุษย์ด้วย
4. ปะการังอ่อน ปะการังชนิดนี้ไม่สร้างโครงหินปูนห่อหุ้มตัวแต่จะสร้างโครงหินปูนภายในตัวของมันเองสามารถสะบัดไหวไปมาตามกระแสน้ำได้จึงเรียกว่าปะการังอ่อนมีลักษณะเป็นแท่งเรียวเหมือนเขาสัตว์ซึ่งสามารถโก่งงอได้มีสีสันหลายหลายสวยงามทั้งที่เติบโตเป็นต้น เป็นกอและเป็นแผ่น
5. กัลปังหา เป็นปะการังที่มีหลายสีรูปทรงเรียวยาวและมีกิ่งก้านสาขาแผ่คล้ายต้นไม้ กิ่งก้านหนึ่งของกัลปังหาอาจมีความยาวตั้งแต่ 2-3 นิ้ว ไปจนถึงความยาวเป็นเมตร
6. ดอกไม้ทะเล เป็นสัตว์กลุ่มเดียวกับปะการังมีรูปร่างทรงกระบอกด้านล่างเป็นฐานยึดติดกับก้อนหิน มีหนวดมีเข็มพิษสำหรับจับปลาเล็กๆ กินเป็นอาหาร มีสันของดอกไม้ทะเล คือ ปลาการ์ตูนซึ่งนอกจากจะมีสีสวยงามแล้ว ยังมีเมือกกันพิษจากดอกไม้ทะเลหุ้มตัวอยู่ ทำให้ไม่ได้รับอันตราย

7. หนอนทะเล มีหลายชนิด บางชนิดมีขนาดเล็กอาศัยอยู่ในรอยแตกหรือซอกหินของแนวปะการังมีรูปร่างสีสันสวยงาม หนอนทะเลเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการแตกสลายของปะการังโดยการขุดโพรงเป็นที่อยู่อาศัยเศษหินที่ขุดออกมาก็จะกลายเป็นเศษหินหรือทราย8. สัตว์อื่นๆ ที่อาศัยในแนวปะการังหอย ได้แก่ หอยเบี้ย หอยสังข์ หอยนางรม หอยมือเสือ หอยเต้าปูน และหอยสังข์แตร โดยหอยสังข์แตรเป็นหอยที่กินปลาดาวมงกุฎหนามซึ่งเป็นศัตรูของปะการังจึงมีความสำคัญต่อปะการังสูงมาก
หมึกทะเล เป็นหอยชนิดที่ไม่มีเปลือก ลำตัวอ่อนนุ่มมีหนวดสำหรับจับเหยื่อจำพวก กุ้ง ปู ปลา เป็นอาหารหมึกทะเลจะพ่นหมึกสีดำจากตัวในเวลาที่จะหนีศัตรู หมึกทะเลมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ หมึกยักษ์และหมึกธรรมดา ซึ่งได้แก่ หมึกกล้วย หมึกกระดอง

กุ้งและปู เช่น ปูปะการัง มีกระดองกว้างถึง 6 นิ้ว กระดองมีสีแดงสลับเหลืองอ่อนและสีขาวเป็นปูที่มีก้ามแข็งแรงมาก และใช้เป็นอาวุธสำหรับจับเหยื่อ กุ้งพยาบาล ลำตัวมีสีแดงสลบขาว กินตัวพยาธิที่เกาะอยู่ตามผิวหนังของปลาที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังเป็นอาหาร จึงเรียกว่ากุ้งพยาบาล กุ้งมังกร เป็นกุ้งขนาดใหญ่ มีความยาวถึง 2 ฟุตและมีน้ำหนัก เมื่อโตเต็มที่เกือบถึง 12 กิโลกรัม ตัวมีสีน้ำเงินหัวใหญ่มีหนามและมีหนวดอยู่ 2 เส้น หนวดมีความยาวมากกินหนอนทะเล ทากทะเลและปูเป็นอาหาร ปัจจุบันกุ้งมังกรเป็นที่นิยมบริโภคจึงถูกจับขึ้นมาจากท้องทะเลด้วยน้ำหนักเพียง 1-2 กิโลกรัมทำให้กุ้งมังกรค่อยๆ สูญพันธุ์ไปจากทะเลอย่างรวดเร็ว

ปลาต่างๆ ปลาที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังมีทั้งปลาที่เป็นอาหารและปลาประเภทสวยงาม ได้แก่ปลาสิงโต ปลานกแก้ว ปลาการ์ตูน และปลาผีเสื้อ โดยเฉพาะปลาการัง หรือปลาเก๋าปลาชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่จะมีลำตัวใหญ่มาก มีความยาวถึง 2 เมตรปลานกแก้วนอกจากจะเป็นปลาสวยงามแล้วยังมีปากและขากรรไกรที่แข็งแรงคล้ายนกแก้วมีฟันหลายแถว กินสาหร่ายและปะการังเป็นอาหาร ปลานกแก้วจะกัดทั้งก้อนปะการังและจะย่อยเฉพาะตัวปะการัง ส่วนโครงสร้างแข็งนั้นจะขับถ่ายคายออกมาเป็นเศษละเอียดกลายเป็นเม็ดทรายละเอียดต่อไป

สัตว์ที่มีผิวหนังเป็นปุ่ม ที่อาศัยทั่วไปในแนวปะการัง ได้แก่ หอยเม่น มีหลายชนิดโดยทั่วไปมีรูปร่างกลม มีหนามที่ผิวหอยเม่นที่พบส่วนใหญ่จะมีสีดำ หนามเปราะหักตำได้ง่ายแต่ที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังนั้น มีทั้งชนิดหนามสั้น หนามยาว หนามแหลม หนามทู่ และหอยเม่นที่นิยมเก็บมาทำของที่ระลึก ได้แก่ หอยเม่นหนามสั้น และหอยเม่นดินสอ ดาวทะเล มีหลายชนิด หลายสีรูปร่างแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนลำตัว และส่วนแขนที่แยกออกไปเป็นแฉกคล้ายรัศมีดาว ส่วนใหญ่มีรัศมี 5 แฉก บางชนิดอาจมีมากกว่านั้น ดาวทะเลส่วนใหญ่กินหอยเป็นอาหาร แต่มีดาวทะเลชนิดกินปะการังเป็นอาหาร ได้แก่ ดาวมงกุฎหนาม ดาวมงกุฎหนาม หรือที่เรียกว่าปลาดาวหนาม (Crown of Thorns Starfish) เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง รูปร่างมีลักษณะเป็นแฉกคล้ายดาวและมีหนามอยู่บนผิวหนังรอบตัวบริเวณใต้แขนที่เป็นแฉกแต่ละแขนจะมีขาเป็นหลอดสั้นเรียงกันเป็นแถวสำหรับใช้จับอาหารและเคลื่อนที่การเคลื่อนที่นี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่สามารถเคลื่อนที่ได้ทุกแนวระดับตามพื้นท้องทะเล ดาวมงกุฎหนามจะกินเนื้อเยื่อของปะการังเป็นอาหาร
ปะการังที่ถูกดาวมงกุฎหนามกินมากที่สุด ได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังเห็นและปะการังที่ไม่ถูกดาวมงกุฎหนามกินเลย ก็คือปะการังสีน้ำเงิน

น้ำตกกรุงชิง




น้ำตกกรุงชิง


น้ำตกกรุงชิง ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาหลวง ตำบลกรุงชิง กิ่งอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช น้ำตกกรุงชิง เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาว จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียง ที่มาของชื่อ กรุงชิง มาจากพรรณไม้ชนิดชนิดหนึ่งในตระกูลปาล์ม ชื่อว่า "ต้นชิง" ที่มีอยู่มากมายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จากที่ทำการอุทยานฯ นักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้า เพื่อเข้าไปชมความยิ่งใหญ่ของน้ำตก โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ (ไป-กลับ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง) เส้นทางบางช่วงเป็นทางลาดชัน แต่ก็ไม่มากนัก สามารถเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติได้อย่างสะดวก


น้ำตกกรุงชิง ประกอบไปด้วยน้ำตก 6 ชั้น มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป อันได้แก่ หนามมัดแพ หนานฝนแสนห่า หนานปลิว หนานโจร หนานต้นตอ หนานวังเรือบิน ชั้นที่มีความสวยงามมากที่สุดคือ หนานฝนแสนห่า มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงประมาณ 100 เมตร กระแสนน้ำไหลผ่านทิ้งตัวลงมาสู่เบื้องล่าง ซึ่งเป็นแอ่งน้ำตรงจุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้


จากความเป็นเมื่อครั้งอดีต ณ ที่บริเวณนี้เคยเป็นฐานปฏิบัติการ และที่อยู่อาศัยของพรรคคอมมิวนิสต์ มาก่อน ดังนั้นในเส้นทางศึกษาธรรมชาติจากที่ทำการอุทยานฯ สู่น้ำตกกรุงชิง บางจุดจึงมีชื่อเรียกขานตามเหตุการณ์ในช่วงนั้นๆ เช่น


มหาสดำ คือเฟิร์นโบราณ เป็นเฟิร์นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขนายพันธุ์ด้วยสปอร์ที่อยู่ใต้แผ่นใบ และอาศัยน้ำเป็นตัวผสมจึงเกิดเป็นต้นใหม่ได้ มหาสดำชอบขึ้นอยู่ตามป่าดิบชื้นตามแหล่งต้นน้ำลำธารดงชก เป็นพืชวงศ์ปาล์ม สามารถนำผลมาเชื่อมทำเป็นลูกชิดแล้วกินได้ ดงชกเมื่อออกดอกจะติดผลเพียงครั้งเดียว จากนั้นต้นก็จะตายไป เป็นพืชที่มีความแปลกอีกชนิดหนึ่งหลุมชวาก มีอยู่หลายๆ แห่งรอบๆ เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ หลุมชวาก เป็นหลุมพราง ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำขึ้น โดยขุดหลุมแล้วนำไม้แหลม หรือหนามต่างๆ ลงไปปักไว้ เพื่อเป็นการขัดขวาง หรือตัดกำลัง ฝ่ายตรงข้ามในการเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ


บันไดสามขั้น บริเวณจุดที่เรียกว่า บันไดสามขั้นนี้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในช่วงการสู้รบ มีทหารจากฝ่ายรัฐบาลมาเสียชีวิตอยู่ในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันบริเวณนี้ค่อนข้างลื่นและชัน นักท่องเที่ยวควรเดินด้วยความระมัดระวัง


ศาลาประตูชัย นักท่องเที่ยวสามารถแวะพักเหนื่อยได้ที่ศาลานี้ บริเวณนี้มีต้นไทรคู่ขนาดใหญ่ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของนกนานาชนิด นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดูนก สามารถเฝ้าชมได้จากจุดนี้อีกจุดหนึ่ง


ถ้ำประตูชัย สนามบาส ถ้ำประตูชัยเป็นถ้ำที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้เก็บเสบียงอาหาร ใกล้ๆ กันมีพื้นที่โล่งใช้เป็นสนามบาสเก็ตบอลในป่า เพื่อการออกกำลังกาย หรือเป็นลานอเนกประสงค์ในโอกาสต่างๆ ป่าชิง บริเวณนี้มีศาลาเป็นจุดพักระหว่างการเดินสู่น้ำตก รายรอบไปด้วยต้นชิง ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ปาล์ม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อป่าแถบนี้


ช้างร้องไห้ เป็นพืชในวงศ์ปาล์มขนาดใหญ่ และหายากชนิดหนึ่ง ใบมีลักษณะเป็นหยัก และคม นักท่องเที่ยวควรระมัดระวัง เพราะเมื่อไปสัมผัสแล้วจะมีอาการคัน และปวดแสบร้อนที่ผิวหนังได้ ศาลาฝนแสนห่า และ น้ำตกกรุงชิง เป็นศาลาสุดท้าย และเป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ สู่น้ำตกกรุงชิง เป็นศาลาที่เปิดโล่ง นักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อนชมความสวยงามของ น้ำตกกรุงชิง ได้อย่างเพลิดเพลิน


อุทยานแห่งชาติเขาหลวง ยังมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ที่มีความน่าสนใจอีกหลายเส้นทาง รอคอยนักท่องเที่ยวมาสัมผัส วันนี้ผมได้แนะนำเส้นทางสู่น้ำตกกรุงชิง เพื่อว่าท่านที่สนใจจะได้เก็บไว้เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่ง ที่ท่านจะได้มาเยือนในวันหยุดพักผ่อนของท่าน ภาคใต้ของเราถึงแม้จะมีความไม่สงบอยู่บ้าง แต่นั่นก็เพียงในบางพื้นที่เท่านั้น กรุงชิง ในวันนี้ได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้าย แห่งแนวคิดความแตกแยกนั้นมาแล้ว ปัจจุบันมีแต่ความเงียบสงบ ป่าที่เขียวสด สายน้ำใสบริสุทธิ์ฉ่ำเย็น กำลังไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตด้วยสัจจะ ที่ว่า "ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใครก่อน"

อุทยานแห่งชาติเขาหลวง มียอดเขาหลวงสูงสุด 1,835 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงที่สุดในภาคใต้เป็นแหล่งของต้นน้ำลำธารและคลองต่าง ๆ กว่า 15 สาย มีสภาพเป็นป่าดงดิบชื้นและป่าดิบเขา เส้นทางการเดินในอุทยานเป็นวงรอบ มีธรรมชาติที่สวยงามและมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีพืชและสัตว์ที่หายากอยู่มากมาย บางชนิดพบได้ที่เขาหลวงเท่านั้น ชุมชนโดยรอบ ตลอดจนนักท่องเที่ยวเข้าใจความสำคัญของธรรมชาติและสามารถจัดระบบรองรับนักท่องเที่ยวที่ดี ทำให้อุทยานฯ แห่งนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ( Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2541 รางวัลยอดเยี่ยม ประเภท แหล่งท่องเที่ยวธรรมชา
ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ
สำนักงาน ททท. ภาคใต้ เขต 2 สนามหน้าเมือง ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช 80000โทร. 0 7534 6515-6 โทรสาร 0 7534 6517 Website :www.tat.or.th./south2E-mail Address :tatnksri@tat.or.thพื้นที่ความรับผิดชอบ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง
อุทยานแห่งชาติเขาหลวงโทร. 0 7535 4839 จองที่พัก ได้ที่ โทร. 0 2562 0760
รถยนต์ เส้นทางหลวงหมายเลข 4 กรุงเทพฯ-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านสุราษฎร์ธานี-ทุ่งสง จนถึงนครศรีธรรมราช หรือถึงอำเภอพุนพิน สุราษฎร์ธานี แล้วใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 401 เลียบชายฝั่งทะเลไปจนถึงนครศรีธรรมราช รวมระยะทาง 780 กิโลเมตร
รถไฟ จากสถานีรถไฟหัวลำโพง มีขบวนรถเร็ว และรถด่วน ไปนครศรีธรรมราช รวมระยะทาง 832 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1690, 0 2223 7010, 0 2223 7020 หรือจองบัตรโดยสารรถไฟได้ที่ โทร. 0 2220 4444 website:
http://www.railway.co.th/ สถานีรถไฟนครศรีธรรมราช โทร. 0 7535 6364, 0 7534 6129

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552


ต้นไม้ลดไอร้อน

เมืองไทยเราสมัยนี้ฤดูกาลเอาแน่นอนไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าฤดูไหน อากาศก็ยังคงเป็นร้อน ร้อน แล้วก็ร้อน บางบ้านก็อาศัยอาบน้ำบ่อยๆเอา บางบ้านก็พึ่งพัดลม ซึ่งบางครั้งก็เหมือนเอาลมร้อนมาพัดใส่ตัวนั่นเอง บ้านไหนที่ทนไม่ไหวติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ก็ต้องจำยอมจ่ายค่าไฟฟ้าเพื่อความเย็นฉ่ำ แต่ทราบมั้ยคะว่า ต้นไม้ที่เราปลูกนอกจากจะให้ดอก ผล เกิดความสวยงามแก่บ้านเรือนแล้ว ยังช่วยเราลดความร้อนในบ้าน ช่วยให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ด้วย เพราะนอกจากร่มเงาของต้นไม้ที่จะบังแดดและไอร้อนลดการสะสมความร้อน ในผนังอาคาร แล้ว ต้นไม้ยังคายออกซิเจนและไอน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิและไอร้อนด้วย


เพลี้ยแป้ง

เพลี้ยแป้งเป็นแมลงชนิดปากดูด ลำตัวอ่อนนุ่ม มีสีต่างๆ กัน ขนาดประมาณ 1-5 ม.ม. ถ้ามองจากภายนอกจะเห็นว่ามีสีขาวลักษณะคล้ายแป้ง เกิดจากการกลั่นสารบางชนิดออกมาปกคลุมตัวเอง เพื่อพรางตัวตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะพบตามยอดอ่อน โคนใบอ่อน ช่อดอก ใต้ใบ กิ่งก้าน มักไม่ค่อยทำลายไม้ประเภทที่แข็งแรงเป็นไม้ยืนต้น


ความเชื่อที่ไม่นิยมปลูกลั่นทมในบ้าน

ลั่นทมจะมีลำต้นใหญ่งดงาม กลีบดอกสวยงามละมุนตากลิ่นหอมจับใจ และมีคุณลักษณะเป็นพืชสมุนไพรด้วย โดยอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.poojar.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=30041&Ntype=1แต่คนไทยไม่นิยมปลูกลั่นทมเอาไว้ในบ้าน เพราะเชื่อกันว่า ชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ไม่เป็นมงคล เพราะคำว่าลั่นทมหากฟังเผินๆ ก็ใกล้เคียงกับคำว่าระทมมากเลยทีเดียว จนเชื่อกันว่า หากใครปลูกต้นลั่นทมไว้ในบ้าน คนทั้งบ้านก็จะมีแต่ความระทมทุกข์ จึงมักพบเห็นต้นลั่นทม ในเขตของโบสถ์และวัดวาอาราม หรือตามหลุมฝังศพ และสถานที่ราชการเท่านั้น แต่ก็มีคนนำมาปลูกกันในบ้าน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกกันว่า ลีลาวดีแทน

สวนน้ำ

สวนน้ำ (Water Garden) อาจแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ สวนที่จัดในน้ำ จะเป็นบนผิวน้ำ หรือ ใต้ผิวน้ำก็ได้ ต้นไม้ที่จะใช้ ต้องเป็นต้นไม้ที่มีธรรมชาติอยู่ในน้ำ หรือ แช่น้ำได้ อาจเป็นไม้น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น อเมซอน บัว กก ปรงสวน เตยหอม โมก ชุมเห็ด หรือ ผักตบ เป็นต้น หากจัดใต้น้ำเป็นลักษณท้องทะเล ก็อาจมีกรวด กิน ทราย ปะการัง หรือเปลือกหอยประกอบ หาก จัดเป็นบ่อ เป็นลำธารคงจะมีหิน มีกรวด มีเกาะแก่ง แต่จะมีอีกประ เภท คือ สวนประกอบน้ำ คือการจัดสวนประกอบบ่อ ลำธาร น้ำตก การเลือกใช้ต้นไม้ นอกจากต้น ไม้ที่สามารถขึ้นอยู่ในน้ำและชายน้ำดังกล่าวแล้ว อาจใช้ต้นไม้ที่ตามธรรมชาติขึ้นบนพื้นดินแต่ให้มีลักษณะและ รูปฟอร์ม ประสานกลมกลืนไปกับบรรยากาศริมน้ำได้ เช่น ไทร ไผ่ หลิว มะพร้าว เป็นต้น สวนน้ำหรือ สวนประกอบน้ำ ถ้ามีสะพานให้เดินเล่นเพิ่มความเพลิดเพลิน แต่ต้องตามมาด้วยการดูแลรักษามากขึ้นเป็นพิเศษ

พรรณไม้มีพิษ

ต้นไม้บางอย่างก็มีพิษ ในที่นี้อาจหมายถึง ยางมีพิษ หรือการได้รับพิษจากการกิน แต่ถ้าไม่ไปโดนส่วนที่เป็นพิษก็ไม่เป็นอะไร ได้แก่

กระบองเพชร หนามเป็นอันตราย
ข่อย เปลือกของผลทำให้คัน
เข็มอาดัม เข็มกุดั่น ปลายใบแหลมคม รากมีพิษ
เจตมูลเพลิงขาว รากยางมีพิษคัน
ดองดึงส์ หัวสดๆ รัปประทานเป็นพิษ
ตีนเป็ดน้ำ เมล็ดเป็นพิษ
เต่าร้าง ยางจากผลทำให้คัน
ตำแยช้าง ต้นมีขนเป็นพิษคัน
บานเย็น รากและเมล็ดเป็นพิษ
โป๊ยเซียน หนามและน้ำยางมีพิษ
โพทะเล น้ำยางของต้นมีพิษ
พญาไร้ใบ น้ำยางมีพิษคัน ถูกตาอาจบอดได้
มะกล่ำตาหนู สีแดงหุ้มเมล็ดเป็นพิษ รากเป็นพิษ
ยี่โถ น้ำยางและรากเป็นพิษ
รำเพย น้ำยางและผลเป็นพิษ
ลำโพง หนามของผลและเมล็ดมีพิษ
สาวน้อยประแป้ง ยางของต้นทำให้คัน ถูกลิ้นจะชา
สลัดใดป่า น้ำยางมีพิษคัน ถูกตาอาจบอด
หางไหลแดง เปลือก ดอก รากเป็นพิษ

ไม้วงศ์ไผ่

ไผ่เป็นไม้มงคล เชื่อกันว่าจะทำให้คนในบ้านมีจิตใจดี เป็นคนซื่อตรง ไม่คดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ก็จะตั้งใจทำ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรม มีความสุข ความเจริญ

ไม้วงศ์ไผ่ ที่นิยมใช้จ้ดสวนได้แก่
ไผ่จีน
ไผ่ดำ
ไผ่ด่าง
ไผ่ตง
ไผ่เตี้ย
ไผ่น้ำเต้า
ไผ่ป่า
ไผ่เพ็ก
ไผ่รวกเล็ก
ไผ่เลี้ยง
ไผ่สีสุก
ไผ่เหลือง
ไผ่เหลืองทอง
ไผ่หลอด
ไผ่หวานเมืองน่าน
ไผ่หวานเมืองเลย


ภาวะโลกร้อน ความจริงช็อกโลก!!!

ภาวะโลกร้อน หมายถึง ภาวะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะโลกร้อนอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพืช สัตว์ และมนุษย์ที่มาของภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากผลของภาวะเรือนกระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Greenhouse Effect โดยภาวะโลกร้อน ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ, การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
นอกจากนั้นมนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆ กับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
ปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก
พลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีทั้งรังสีคลื่นสั้นและคลื่นยาว บรรยากาศของโลกทำหน้าที่ปกป้องรังสีคลื่นสั้นไม่ให้ลงมาทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกได้ โมเลกุลของก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนในบรรยากาศชั้นบนสุดจะดูดกลืนรังสีแกมมาและรังสีเอ็กซ์จนทำให้อะตอมของก๊าซในบรรยากาศชั้นบนมีอุณหภูมิสูง และแตกตัวเป็นประจุ (บางครั้งเราเรียกชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยประจุนี้ว่า "ไอโอโนสเฟียร์" มีประโยชน์ในการสะท้อนคลื่นวิทยุสำหรับการสื่อสาร) รังสีอุลตราไวโอเล็ตสามารถส่องผ่านบรรยากาศชั้นบนลงมา แต่ถูกดูดกลืนโดยก๊าซโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่ระยะสูงประมาณ 19 - 48 กิโลเมตร แสงแดดหรือแสงที่ตามองเห็นสามารถส่องลงมาถึงพื้นโลก รังสีอินฟราเรดถูกดูดกลืนโดยก๊าซเรือนกระจก เช่น ไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นโทรโปสเฟียร์ ส่วนคลื่นไมโครเวฟและคลื่นวิทยุในบางความถี่สามารถส่องทะลุชั้นบรรยากาศได้
สำหรับ บรรยากาศของโลกประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน 78% ก๊าซออกซิเจน 21% ก๊าซอาร์กอน 0.9% นอกนั้นเป็นไอน้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนเล็กน้อย แม้ว่าไนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอนจะเป็นองค์ประกอบหลักของบรรยากาศ แต่ก็มิได้มีอิทธิพลต่ออุณหภูมิของโลก ในทางตรงกันข้ามก๊าซโมเลกุลใหญ่ เช่น ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน แม้จะมีอยู่ในบรรยากาศเพียงเล็กน้อย กลับมีความสามารถในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด และมีอิทธิพลทำให้อุณหภูมิของโลกอบอุ่น เราเรียกก๊าซพวกนี้ว่า "ก๊าซเรือนกระจก" (Greenhouse gas) เนื่องจากคุณสมบัติในการเก็บกักความร้อน หากปราศจากก๊าซเรือนกระจกแล้ว พื้นผิวโลกจะมีอุณหภูมิเพียง -18 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นก็หมายความว่าน้ำทั้งหมดบนโลกนี้จะกลายเป็นน้ำแข็งก๊าซและสารที่มีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน ก๊าซและสารที่มีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน มีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่ ไอน้ำ (H2O) เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีมากที่สุดบนโลก มีอยู่ในอากาศประมาณ 0- 4% ขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และอุณหภูมิ ในบริเวณเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรและชายทะเลจะมีไอน้ำอยู่มาก ส่วนในบริเวณเขตหนาวแถบขั้วโลก อุณหภูมิต่ำ จะมีไอน้ำในบรรยากาศเพียงเล็กน้อย ไอน้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต ไอน้ำเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรน้ำในธรรมชาติ น้ำสามารถเปลี่ยนสถานะไปมาทั้ง 3 สถานะ จึงเป็นตัวพาและกระจายความร้อนแก่บรรยากาศและพื้นผิว
ไอน้ำเกิดจากโดยฝีมือมนุษย์ 2 วิธี คือ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงหรือก๊าซธรรมชาติ และจากการหายใจและคายน้ำของสัตว์และพืชในการทำเกษตรกรรม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในยุคเริ่มแรกของโลกและระบบสุริยะ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศถึง 98% เนื่องจากดวงอาทิตย์ยังมีขนาดเล็กและแสงอาทิตย์ยังไม่สว่างเท่าทุกวันนี้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ช่วยทำให้โลกอบอุ่น เหมาะสำหรับเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ครั้นกาลเวลาผ่านไปดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ขึ้น น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลงมายังพื้นผิว แพลงก์ตอนบางชนิดและพืชตรึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ มาสร้างเป็นอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง ทำให้ภาวะเรือนกระจกลดลง โดยธรรมชาติก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นจากการหลอมละลายของหินปูน ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากปล่องภูเขาไฟ และการหายใจของสิ่งมีชีวิต
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเผาไหม้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาป่าเพื่อใช้พื้นที่สำหรับอยู่อาศัยและการทำปศุสัตว์ เป็นต้น โดยการเผาป่าเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้โดยเร็วที่สุด เนื่องจากต้นไม้มีคุณสมบัติในการตรึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ก่อนที่จะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นเมื่อพื้นที่ป่าลดน้อยลง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงลอยขึ้นไปสะสมอยู่ในบรรยากาศได้มากยิ่งขึ้น และทำให้พลังงานความร้อนสะสมบนผิวโลกและในบรรยากาศเพิ่มขึ้นประมาณ 1.56 วัตต์/ตารางเมตร (ปริมาณนี้ยังไม่คิดรวมผลกระทบที่เกิดขึ้นทางอ้อม) ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ( co2) มาจากประเทศไหนมากที่สุด
จากตัวเลขที่ได้สำรวจล่าสุดนั้นเรียงตามลำดับประเทศที่ปล่อยควันพิษของโลกมีปริมาณสะสมมาตั้งแต่ปี 1950 ดังนี้
- สหรัฐอเมริกา 186,100 ล้านตัน
- สหภาพยุโรป 127,800 ล้านตัน
- รัสเซีย 68,400 ล้านตัน
- จีน 57,600 ล้านตัน
- ญี่ปุ่น 31,200 ล้านตัน
- ยูเครน 21,700 ล้านตัน
- อินเดีย 15,500 ล้านตัน
- แคนาดา 14,900 ล้านตัน
- โปแลนด์ 14,400 ล้านตัน
- คาซัคสถาน 10,100 ล้านตัน
- แอฟริกาใต้ 8,500 ล้านตัน
- เม็กซิโก 7,800 ล้านตัน
- ออสเตรเลีย 7,600 ล้านตัน
เศรษฐกิจพอเพียง

หัวใจของโครงการ คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
"เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน "ทางสายกลาง" โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
"เศรษฐกิจพอเพียง"หมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี


การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

1. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพอย่างจริงจัง ดังพระราชดำรัสว่า . . . ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง
2. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง สุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพก็ตาม ดังพระราชดำรัสที่ว่า . . . ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจาก การประพฤติชอบและการหาเลี้ยงชีพ ของตนเป็นหลักสำคัญ. . .
3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าขายประกอบอาชีพแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรงดังอดีต ซึ่งมีพระราชดำรัสเรื่องนี้ว่า . . . ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรมทั้งในเจตนา และการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น. . .
4. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางในชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยากครั้งนี้ โดยต้องขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้เกิดมีรายได้เพิ่มพูนขึ้นจนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ พระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ให้ความชัดเจนว่า . . . การที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่ จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า ที่มีความสุข พอมีพอกินเป็นขั้นหนึ่ง และขั้นต่อไป ก็คือให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วยตัวเอง. . .
5. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีลดละสิ่งยั่วกิเลสให้หมดสิ้นไป ทั้งนี้ด้วยสังคมไทยที่ล่มสลายลงในครั้งนี้ เพราะยังมีบุคคลจำนวนมิใช่น้อยที่ดำเนินการโดยปราศจากละอายต่อแผ่นดิน พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราโชวาทว่า . . . พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัว ทำลายผู้อื่น พยายามลด พยายามละความชั่วที่ตัวเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษา และเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้น ให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น. . .
ทรงย้ำเน้นว่าคำสำคัญที่สุดคือ คำว่า "พอ" ต้องสร้างความพอที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองให้ได้และเราก็จะพบกับความสุข

การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

ความหมายของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


การอนุรักษ์ (Conservation) หมายถึง การรู้จักการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดได้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากที่สุดและใช้ได้เป็นเวลายาวนานที่สุด ทั้งนี้ต้องให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์น้อยที่สุด และต้องกระจายการใช้ประโยชน์โดยทั่วถึงกันด้วย การอนุรักษ์ไม่ใช่เป็นการเก็บรักษาทรัพยากรไว้เฉย ๆ แต่เป็นการนำมาใช้ประโยชน์ให้ถูกต้องตามกาลเทศะนั่นเอง (นิวัติ, 2537)
สาเหตุที่ต้องมีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความเจริญส่วนใหญ่ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับปริมาณของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ถึงแม้จะมีความก้าวหน้าทางด้านวิชาการเพียงใด แต่ปริมาณของวัตถุดิบที่ จำเป็นในการพัฒนากิจกรรมอุตสาหกรรมก็ยังเป็นหลักใหญ่ที่จะบันดาลให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญก้าวหน้าไปได้หรือไม่ ความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศที่ก้าวหน้าทั้งหลายล้วนแต่มีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นทุนสำคัญ ทั้งนี้เพราะประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาตินั้นแม้ว่าจะมีความเจริญทางด้านอื่น แต่ยังเสียเปรียบในเรื่องความสมบูรณ์พูนสุขที่ประชากรของตนจะได้รับ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าในแง่เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดการผลิตเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ การผลิตมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ

1. ทุน (Capital)
2. วิทยาการและการประดิษฐ์ (Technology and Innovation)
3. ทรัพยากร (Resources) แบ่งออกเป็นทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ การผลิตในด้านเศรษฐกิจแยกออกได้เป็นการผลิตสิ่งของและบริการ ทรัพยากรธรรมชาติจะถูกนำมาใช้ในการผลิตทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม ในด้านการเกษตร
ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยการผลิตโดยตรงได้แก่ ดิน น้ำ ส่วนทางด้านอุตสาหกรรม ได้แก่ สินแร่ และพลังงาน อย่างไรก็ตามทรัพยากรธรรมชาติจะมีประโยชน์ต่อเมื่อได้นำออกมาใช้เพื่อเศรษฐกิจและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในด้านเศรษฐกิจนั้นจะต้องคำนึงถึงหลักการอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติพร้อมกันไปด้วย ปัจจุบันเราต้องยอมรับความจริงว่าทรัพยากรมีอยู่จำกัด ทรัพยากรต่าง ๆ มีวันที่จะหมดไป ถ้าไม่หมดหรือสูญหายอาจเปลี่ยนสภาพที่ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์สภาพปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดินเสื่อมคุณภาพ พื้นที่ป่าไม้สัตว์ป่าลดจำนวนลง โดยเฉพาะป่าชื้นเขตร้อน (ป่าดงดิบ) ที่เปรียบเสมือนมหาสมุทร สีเขียวบนพื้นโลก ป่าชื้นเขตร้อนเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พืช สัตว์นานาชนิดตลอดจนต้นน้ำลำธาร ที่หล่อเลี้ยงโลกให้ชุ่มชื้นและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตนอกจากนี้ยังทำหน้าที่ควบคุมภูมิอากาศ จะเห็นได้ว่าภัยพิบัติที่เกิดจากความแห้งแล้ง ซึ่งเพิ่มความแห้งแล้งมากขึ้นทุกปี เป็นผลมาจากจำนวนมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศโลกที่สาม ความต้องการเพิ่มพื้นที่การเกษตรทำให้มนุษย์หักร้างถางพง เผาป่าทำไร่เลื่อนลอยใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ทำให้มีสิ่งปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำตั้งแต่ต้นแม่น้ำจนถึงปากแม่น้ำ จนกระทั้งทะเล มหาสมุทร ขณะที่ในอากาศมีปัญหาเรื่องมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ รวมไปถึงการปล่อยควันที่มีส่วนประกอบที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ จากโรงงานอุตสาหกรรม การขาดแคลนอาหาร และพลังงาน ในบางส่วนของโลกเกิดขึ้นเพราะประชากรกำลังจะล้นโลก เหล่านี้ล้วนเป็นภัยอันตรายที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ และต้องประสบปัญหามากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มนุษย์ถือว่าตนเองเป็นเจ้าแห่งทรัพยากรทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก มนุษย์พยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวด-ล้อม ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ใช้พลังงานจากสมองคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ทั้งทางวิศวกรรม การแพทย์ไว้รับใช้และปกป้องชีวิตของมนุษย์ให้ยืนยาว จากข้างต้นโดยสรุปสาเหตุหลักที่ต้องมีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีดังนี้
1) ข้อจำกัดในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
2) การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ในอนาคต
3) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
4) ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติทวีมากขึ้น
5) เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมของสังคมที่เจริญ
หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น ต้องมีหลักการเพื่อเป็นพื้นฐาน ดังต่อไปนี้

1) ทรัยพากรธรรมชาติแต่ละชนิดต่างมีความสัมพันธ์ซี่กันและกันอย่างใกล้ชิด การกระทำต่อทรัพยากรธรรมชาติประเภทใดประเภทหนึ่ง จะมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติประเภทอื่นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำมาใช้ประโยชน์
2) การทำลายทรัพยากรธรรมชาติด้วยสาเหตุใดก็ตามเท่ากับเป็นการทำลายคุณภาพชีวิตและความเจริญของประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกครั้งที่มีการใช้หรือแปรเปลี่ยนสภาพของทรัพยากรธรรมชาติจะต้องมีการสูญเสียทุกครั้งไป ดังนั้นจึงต้องให้สูญเสียน้อยที่สุด
3) การอนุรักษ์มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท อาชีพใดๆ ก็ตาม เนื่องจากทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น
4) การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ต้องไม่แยกมนุษย์ออกจากสภาพแวดล้อมทางสังคมหรือทางธรรมชาติ
5) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติต้องให้เกิดประโยชน์กับมหาชนให้มากที่สุด และให้อยู่นานที่สุด เท่าที่จะกระทำได้
6) ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติที่หายากและใกล้สูญพันธุ์
7) เมื่อทรัพยากรธรรมชาติชนิดใดชนิดหนึ่งเสื่อมโทรม ต้องมีการปรับปรุงและซ่อมแซมให้คืนสภาพเสียก่อนแล้วจึงค่อยนำไปใช้ จะทำให้ระบบสิ่งแวดล้อมดีขึ้น
8) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอาจต้องพิจารณาร่วมกันในด้านเศรษฐกิจและทางนิเวศวิทยา ต้องเป็นการใช้ตามหลักการทางนิเวศพัฒนา (Ecodevelopment)
วิธีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ใช้ในปัจจุบัน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทั่ว ๆ ไป มีวิธีการหลายรูปแบบ ดังนี้

1) การถนอมและรักษา
2) การบูรณะฟื้นฟู
3) การลดปริมาณของเสีย

(1) การหมุนเวียนกลับมาใช้ (Recycle)
(2) การใช้ซ้ำ (Reuse)
(3) การซ่อมแซม (Repair)
(4) การลดปริมาณการใช้ (Reduce)
(5) การปฏิเสธการใช้ (Reject)

4) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
5) การใช้สิ่งอื่นทดแทน
6) การค้นหาทรัพยากรแหล่งอื่นมาใช้
ไข้หวัดหมู

ลอนดอน 27 เม.ย.- เว็บไซต์บีบีซีตีพิมพ์ข้อมูลให้ความรู้ เกี่ยวกับโรคไข้หวัดหมู โดยระบุว่า ไข้หวัดหมูแท้จริงแล้วเป็นโรคทางเดินหายใจ ที่พบในหมู มีสาเหตุมาจากไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ ก่อให้เกิดอาการป่วยแต่มักจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
ไข้หวัดหมู ส่วนใหญ่มักแพร่ระบาดในช่วง ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แต่สามารถพบเชื้อได้ตลอดทั้งปี ไข้หวัดหมูมีหลายสายพันธุ์เช่นเดียวกับไข้หวัดที่พบในคน และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามปกติ คนจะไม่ติดเชื้อไข้หวัดหมู ยกเว้นผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับหมู ก็อาจติดเชื้อไข้หวัดหมูมาได้ แต่มักไม่ค่อยพบกรณีนี้ ทั้งยังไม่ค่อยพบกรณีไข้หวัดหมูระบาดจากคนสู่คนอีกด้วย แต่ถ้าพบ ก็มักเป็นการติดเชื้อผ่านการไอและจาม
แต่ถึงกระนั้น การระบาดของไข้หวัดหมูในครั้งนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มีการแพร่เชื้อจากคนสู่คน และอาการก็เหมือนไข้หวัดธรรมดาทั่วไป องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า ผู้ป่วยบางรายในนี้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์พิเศษในแบบที่พบทั้งในคน นก และหมู ไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ในรูปแบบใหม่นี้อาจเกิดจากการผสมของไวรัสหลายสายพันธุ์รวมกัน ซึ่งตามปกติ ไวรัสไข้หวัดจะสามารถกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลาเมื่อมีการแลกเปลี่ยนลักษณะทาง พันธุกรรมกับไวรัสไข้หวัดด้วยกัน
ข้อมูลจากเว็บไซต์บีบีซี ยังยืนยันว่า สามารถกินเนื้อหมูได้ตามปกติในช่วงนี้ เพราะยังไม่มีหลักฐานว่า ไข้หวัดหมูจะแพร่ผ่านจากการกินเนื้อที่ปรุงมาจากหมูซึ่งป่วยเป็นไข้หวัด แต่เนื้อหมูที่นำมาปรุงเป็นอาหาร ควรทำให้สุกผ่านอุณหภูมิสูงถึง 70 องศาเซลเซียส เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสให้ตายเสียก่อน
องค์การอนามัยโลกยัง ระบุถึงกรณีพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูในเม็กซิโกและสหรัฐว่า ก่อให้เกิดความวิตกที่เชื้ออาจแพร่ลามระบาดไปทั่วโลก และย้ำว่า สถานการณ์ในขณะนี้ อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แต่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ได้อย่างครบถ้วนในตอนนี้ เพียงแต่คาดว่า สถานการณ์กำลังดูคล้ายกับเมื่อคราวที่เกิดการระบาดของไข้หวัดเมื่อปี 2511 ซึ่งตรวจพบที่ฮ่องกงเป็นที่แรก เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ เอช 3 เอ็น 2 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 1 ล้านคนทั่วโลก โดยผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี มีแนวโน้มจะเสียชีวิตมากที่สุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า เหยื่อที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาว ทั้งที่ตามปกติ ผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่ติดไข้หวัดได้ง่ายที่สุด ทางการสหรัฐย้ำว่า ยาทามิฟลู และรีเลนซา ยังคงใช้รักษาอาการหวัดอย่างได้ผลในตอนนี้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่า วัคซีนไข้หวัดที่คิดค้นได้ในปัจจุบัน จะใช้ป้องกันไข้หวัดที่กลายพันธุ์ไปจากเดิมได้หรือไม่ เช่น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ล่าสุด
ส่วนไข้หวัดนกที่คร่าชีวิตผู้คนในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เป็นคนละสายพันธุ์กับไข้หวัดหมู โดยไข้หวัดนกเป็นไวรัสสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 แต่ไข้หวัดหมู เป็นไวรัส เอช 1 เอ็น 1 สายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญกำลังวิตกว่า อาจเกิดการระบาดของไวรัส เอช 1 เอ็น 1 เพราะเป็นไวรัสที่กลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และขณะนี้ ก็เกิดการติดต่อจากคนสู่คน ต่างจากไวรัส เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งยังไม่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้อย่างง่าย ๆ. -สำนักข่าวไทย
พบผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 แล้ว 1,893 ระบาด 23 ประเทศ


>> การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook กับ Projector

การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook กับ Projectorปัญหา เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ไม่สามารถใช้กับโปรเจคเตอร์นั้นมีมากทีเดียว กว่าร้อยละ 80 เกิดจากคอมพิวเตอร์ Notebook นั้นเอง นั่นคืออาจเกิดจาก driver ของคอมพิวเตอร์ Notebook มีปัญหา หรืออาจเกิดจากการปรับตั้งไม่ถูกต้อง ซึ่งวิธีตรวจสอบเบื้องต้นง่ายๆ คือนำเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook มาต่อเข้ากับจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะนำไปใช้กับโปรเจคเตอร์ในเรื่องของการต่อเชื่อมนั้น คอมพิวเตอร์สมัยใหม่จะมีการส่งข้อมูลระหว่าง Notebook กับจอมอนิเตอร์หรือโปรเจคเตอร์ ฉะนั้นคุณจะต้องต่อเชื่อมสายสัญญาณ VGA ให้เสร็จ ก่อนจะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนโปรเจคเตอร์ก็ให้ Standby หรือเปิดเครื่องไว้ได้เลยครับ หลังจากเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว เครื่องจะทำการ detect อัตโนมัติ เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะปรับตั้งให้สามารถแสดงภาพออกทาง Port VGA out ( หรือบางเครื่องเรียก Monitor out) ได้ทันที แต่บางเครื่องต้องกดปุ่ม Function ( ปุ่ม Fn ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ทางซ้ายล่างของคีย์บอร์ด) พร้อมกับปุ่ม Function Key เพื่อให้แสดงภาพคอมพิวเตอร์ออกทางช่อง VGA out ได้นั้นมันจะเป็นรูปหน้าจอคอมพิวเตอร์/หน้าจอ LCD ของ Notebook หรือเขียนคำว่า MONITOR หรือ LCD ซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละรุ่นจะมีตำแหน่งของ Function Key แตกต่างกันไป แม้แต่ยี่ห้อเดียวกันถ้าต่างรุ่น Function Key ก็อาจจะอยู่ต่างตำแหน่งกัน เช่นบางเครื่องอยู่ที่ F3 บางเครื่องอยู่ที่ F8 เป็นต้น เมื่อกดปุ่ม Function พร้อมกับ Function Key ครั้งแรกอาจจะแสดงภาพออกเฉพาะโปรเจคเตอร์ ให้กดอีกครั้งภาพจะแสดงออกทั้งหน้าจอของคอมพิวเตอร์ Notebook พร้อมๆ กับโปรเจคเตอร์ และเมื่อกดอีกครั้งภาพจะกลับมาแสดงเฉพาะจอของ Notebook เหมือนเดิม บางครั้งการกดอาจไม่ได้เรียงลำดับแบบนี้อาจมีการสลับกันได้เครื่องคอมพิวเตอร์ notebook บางเครื่องไม่สามารถแสดงภาพออกทางโปรเจคเตอร์ได้พร้อมกับจอของคอมพิวเตอร์ Notebook แม้ว่าตอน Boot เครื่องจะมีข้อความแสดงออกทางโปรเจคเตอร์อยู่ก็ตามแต่เมื่อเข้าสู่ระบบ ปฏิบัติการแล้ว ไม่สามารถแสดงพร้อมกันได้ คือต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉะนั้นควรต้องศึกษาคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ Notebook ให้ดีก่อนซื้อ
เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook บางเครื่องต้องเข้าไป set ใน properties ของหน้าจอก่อน ซึ่งสามารถทำได้ดังขึ้นตอนต่อไปนี้1. คลิ๊กปุ่มขวาของเมาส์บน wallpaper2. จะปรากฏเมนูขึ้นมาให้เลือก properties3. จะปรากฏเมนูอีกอันขึ้นมาแทนให้เลือก setting4. เลือก Advance5. เลือก Monitor6. เลือก ระหว่าง LCD. ของคอมพิวเตอร์ Notebook หรือ Monitor หรือ เลือกให้ออกทั้งสองอย่างพร้อมกัน ถ้าเลือก Monitor ภาพก็จะแสดงออกทางโปรเจคเตอร์ ( ขั้นตอนนี้อาจไม่เหมือนกันแล้วแต่ driver ของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Notebook บางเครื่องก็อาจจะเลือกให้แสดงพร้อมกันไม่ได้ )นอกจากนี้บางครั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจตั้งความถี่ในการ refresh rate ไม่ถูกต้องทำให้ภาพที่ฉายออกทางโปรเจคเตอร์สั่น หรือภาพอาจไม่อยู่ในตำแหน่ง หรือภาพอาจจะขาดหายได้ โดยเฉพาะโปรเจคเตอร์รุ่นเก่าๆที่ยังไม่ได้แก้ปัญหานี้ ก็ควรจะตั้ง refresh rate ของคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องด้วยถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ของคุณไม่สามรถแสดงภาพออกพร้อมๆ กัน ทั้งมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์และโปรเจคเตอร์แล้วละก็ อาจพอมีทางแก้โดยใช้เครื่องกระจายสัญญาณ VGA ชนิดเข้า 1 ออก 2 โดยต่อเครื่องกระจายสัญญาณเข้ากับคอมพิวเตอร์ Notebook และต่อโปรเจคเตอร์เข้ากับเครื่องกระจายสัญญาณ จากนั้นให้หาจอมอนิเตอร์มาต่อเข้ากับเครื่องกระจายสัญญาณ เท่านี้ก็สามารถดูภาพจากหน้าจอมอนิเตอร์ไปพร้อมๆ กับโปรเจคเตอร์ได้แล้วครับหวังว่าบทความนี้คงช่วยคุณในการใช้คอมพิวเตอร์ Notebook และโปรเจคเตอร์ของคุณได้ดีขึ้นครับ