วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552


ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ

ความเป็นมา
ในสมัยที่พระเจ้าศรีธรรมโศกราชเป็นกษัตริย์ครองตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช) อยู่นั้น ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งใหญ่และแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๑๗๗๓ ขณะที่เตรียมสมโภชพระบรมธาตุอยู่นั้น ชาวปากพนังมากราบทูลว่า คลื่นได้ซัดเอาผ้าแถบยาวผืนหนึ่งซึ่งมีภาพเขียนเรื่องพุทธประวัติมาขึ้นที่ชายหาดปากพนัง ชาวปากพนังเก็บผ้านั้นถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระองค์รับสั่งให้ซักผ้านั้นจนสะอาดเห็นภาพวาดพุทธประวัติ เรียกว่า “ ผ้าพระบฏ ” จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของ ได้ความว่าชาวพุทธจากหงสากลุ่มหนึ่ง จะนำผ้าพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา แต่ถูกพายุพัดพามาขึ้นชายฝั่งปากพนัง เหลือผู้รอดชีวิตสิบคนพระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงมีความเห็นว่าควรนำผ้าพระบฏไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ แม้จะไม่ใช่พระพุทธบาทตามที่ตั้งใจ แต่ก็เป็นพระบรมสารีริกธาตุซึ่งเจ้าของผ้าพระบฏก็ยินดี การแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงมีขึ้นตั้งแต่ปีนั้นและดำเนินการสืบต่อมา จนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
ซึ่งประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นประเพณีท้องถิ่นที่มีจัดเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย จัดขึ้นในวันมาฆบูชา อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่ถือว่าเป็น “ วันจตุรงคสันนิบาต ” คือวันที่พระอรหันต์ซึ่งเป็นเอหิภิกขุ จำนวน ๑ , ๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ พุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้พร้อมใจกันประกอบศาสนพิธีในวันนี้ โดยการเวียนเทียนและแห่ผ้าที่เรียกกันว่า “ ผ้าพระบฏ ” เพื่อนำไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ และน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประจำทุกปี

วันเวลาจัดงาน และพิธีกรรม
แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุนิยมจัดปีละสองครั้ง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม ( วันมาฆบูชา) และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก (วันวิสาขบูชา) โดยนำผ้าไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ปัจจุบันนิยมทำกันในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม (วันมาฆบูชา) มากกว่า

สาระสำคัญของประเพณีนี้
แสดงให้เห็นลักษณะสังคมของนครศรีธรรมราช ที่ยึดมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาการทำบุญเพื่ออุทิศเป็นพุทธบูชาเพื่อประสงค์ให้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า ๒. แสดงให้เห็นว่าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ ศูนย์รวมความศรัทธา พุทธศาสนิกชนทั่วไปทุกทิศจึงประสงค์มาห่มผ้าพระธาตุอย่างพร้อมเพรียงกัน


ประเพณีและวัฒนธรรม จังหวัดนครศรีธรรมราช


ประเพณีสารทเดือนสิบ

ความเป็นมา
ประเพณีสารทเดือนสิบวิวัฒนาการมาจากประเพณีเปตพลีของพราหมณ์ ซึ่งลูกหลานจัดขึ้น เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ต่อมาพวกพราหมณ์จำนวนมากได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและยังถือปฏิบัติในประเพณีดังกล่าวอยู่ พระพุทธองค์เห็นว่า ประเพณีนี้มีคุณค่า เป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษนำความสุขใจให้ผู้ปฏิบัติ จึงทรงอนุญาตให้อุบาสกอุบาสิกาประกอบพิธีนี้ต่อไปได้ ประเพณีสารทเดือนสิบมีมาตั้งแต่พุทธกาลคาดว่า เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาในนครศรีธรรมราชจึงรับประเพณีนี้มาด้วย

บ้างก็ว่าเป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ที่เชื่อว่าบรรพบุรุษอันได้แก่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม ๑ ค่ำเดือนสิบ คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง และจะกลับไปนรกในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ ในโอกาสนี้เองลูกหลานและผู้ยังมีชีวิตอยู่จึงนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที


วันเวลา จัดงาน
ช่วงเวลา ระยะเวลาของการประกอบพิธีสารทเดือนสิบมีขึ้นในวันแรม ๑ ค่ำถึงแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ แต่วันที่ชาวนครศรีธรรมราชนิยมทำบุญคือวันแรม ๑๓-๑๕ ค่ำ


ในส่วนของพิธีกรรมพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบ มีดังนี้
๑. การจัดหฺมฺรับ เริ่มในวันแรม ๑๓ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมซื้ออาหารแห้ง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และขนมที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ จัดเตรียมใส่หฺมฺรับ การจัดหฺมฺรับ คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหาร ขนมเดือนสิบลงในภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ถาด กาละมัง เข่ง กระเชอ เป็นต้น ชั้นล่างสุดบรรจุอาหารแห้ง ชั้นสองเป็นพืชผักที่เก็บไว้นาน ชั้นสามเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ขั้นบนสุด ประดับขนมสัญลักษณ์เดือนสิบ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมแต่ละชนิดมีความหมายดังนี้ ขนมลา เป็นเสมือนเสื้อผ้าที่ให้บรรพบุรุษใช้นุ่งห่ม ขนมพอง เป็นเสมือนแพที่ให้บรรพบุรุษข้ามห้วงมหรรณพ ขนมกง เป็นเสมือนเครื่องประดับ ใช้ตกแต่งร่างกาย ขนมบ้า เป็นเสมือนเมล็ดสะบ้า ไว้เล่นในวันตรุษสงกรานต์ ขนมดีซำ เป็นเสมือนเงินตรา ไว้ให้ใช้สอย
๒. การยกหฺมฺรับในวันแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะยกหฺมฺรับที่จัดเตรียมไว้ไปวัด และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วย โดยเลือกไปวัดที่อยู่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยมไป
๓. การฉลองหฺมฺรับและบังสุกุลเมื่อนำหมฺรับไปวัดแล้ว จะมีการฉลองหฺมฺรับ และทำบุญเลี้ยงพระเสร็จแล้วจึงมีการบังสุกุล การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปยังเมืองนรก
๔. การตั้งเปรตเสร็จจากการฉลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านจะนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณลานวัด ข้างกำแพงวัด โคนไม้ใหญ่ เรียกว่า ตั้งเปรต เพื่อแผ่ส่วนกุศลเป็นทานแก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติ หรือญาติไม่มาร่วมทำบุญให้ การชิงเปรตจะทำตอนตั้งเปรตเสร็จแล้ว เพราะเชื่อว่าถ้าหากใครได้กินของเหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ จะได้รับกุศลเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง บางวัดนิยมสร้างหลาเปรต เพื่อสะดวกแก่การตั้งเปรต บางวัดสร้างหลาเปรตไว้บนเสาสูงเพียงเสาเดียว เกลาและชะโลมน้ำมันเสาจนลื่น เมื่อเวลาชิงเปรตผู้ชนะคือผู้ที่สามารถปีนไปถึงหลาเปรตซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงสนุกสนานและตื่นเต้น


สาระสำคัญของประเพณีนี้
๑.เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ โดยรำลึกถึงคุณความดีของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
๒.เป็นโอกาสได้รวมญาติที่อยู่ห่างไกลได้มาพบปะซักถามสารทุกข์สุกดิบต่อกันและได้โอกาสทำบุญร่วมกัน
๓.เป็นการเก็บเสบียงอาหารมีทั้งพืชผักอาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูปจัดนำไปถวายในรูปหมรับหรือสำรับ เพื่อที่ทางวัดจะได้เก็บรักษาไว้เป็นเสบียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน
๔. เป็นการทำบุญในโอกาสที่ได้รับผลผลิตทางการเกษตรที่เริ่มออกผลเพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

เที่ยวเชิงเกษตร ชมและทำไม้ขุดล้อมแหล่งใหญ่ที่สุดของเมองไทย


ทริปนี้เราพาเข้าสวนลุยทำไม้ขุดล้อมพร้อมกับชื่นชมกับความภาคภูมิใจของการพึ่งพาตนเองของชาวบ้านทำไม้ขุดล้อม ที่หมู่บ้าน ชะอม โดยมีคุณป้าเจริญสุขและคุณลุงหม่อมชาวบ้านที่ทำไม้ขุดล้อมเป็นอาชีพหลักมาอย่างยาวนาน และเริ่มทำไม้ขุดล้อมในยุดแรก ๆ ช่วยแนะนำขั้นตอนต่าง ๆ ในสมัยก่อนนั้นการทำไม้ขุดล้อมยังไม่มีคนทำมากนัก มีเป็นบางบ้านเท่านั้นที่ทำเป็นอาชีพหลัก บริเวณตำบลชะอมแห่งนี้มีพื้นที่ปลูกไม้ขุดล้อมพันธุ์ต่างๆ มากจริง ๆ ครับ คุณป้าเจริญสุขเล่าให้เราฟังว่าสมัยก่อนชาวบ้านแถบ ตำบลชะอมก็จะมีอาชีพหลักก็คือการปลูกมันสำปะหลัง แต่รายได้ไม่ค่อยจะดีนัก เมื่อประมาณ ปี 2517 มีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาแนะนำเกี่ยวกับการทำไม้ขุดล้อม และช่วยสอนชาวบ้านในขั้นตอนการปลูกจนสามารถทำเป็นอาชีพได้ และเมือผลผลิตออกมาก็รับซื้อทั้งหมด จนชาวบ้านที่ปลูกเริ่มแรกมีรายได้ดีพอสมควร
ในช่วงแรกไม่มีคนปลูกมากนักมีเป็นบางครัวเรือนเท่านั้นต่อมาเมื่อเห็นว่ารายได้ดีกว่าการทำมันสำปะหลัง จึงหันมาทำไม้ขุดล้อมกันเยอะมากขึ้น จนกลายเป็นอาชีพหลักประจำตำบลชะอมแห่งนี้ในปัจจุบัน ซึ่งทำกันแทบทุกครัวเรือนเมื่อมีชาวบ้านทำกันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ชาวบ้านจึงรวมตัวกันหาตลาดเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆและสามารถขยายตลาดสู่ทุกภูมิภาคของไทยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเองที่น่ายกย่องเป็นอย่างมากและน่าจะนำแบบอย่างไปใช้ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคของเมืองไทยครับ (ขอยกนิ้วให้เลยครับ ชาว ตำบลชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี)ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งชาวบ้าน 17 หมู่บ้าน กว่า 290 ครัวเรือนในตำบลชะอมแห่งนี้ทำการปลูกขายไม้ขุดล้อมกันเป็นอาชีพหลัก นับว่าเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ขุดล้อมขนาดกลาง และใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นแหล่งส่งออกที่สำคัญทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อีกด้วย
เมื่อเราข้าไปชมสวนไม้ขุดล้อมของคุณป้าเจริญสุข เราก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์เย็นสบายเป็นที่สุด มีต้นไม้ขุดล้อมในเนื้อที่กว่า 70 ไร่ สัมผัสกับชีวิตชาวสวนไม้ขุดล้อมที่แสนจะน่ารักและเป็นกันเอง รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความอื้ออาทรต่อกันของชาวสวน ทำให้เราได้สัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก คุณป้าเจริญสุขและคุณลุงหม่อมท่านใจดีมาก ๆ สนุกสนาน เพลิดเพลินและเหนื่อยกับการขุดต้นไม้ไปตาม ๆกัน แต่ก็สุดคุ้มครับทุกท่านการทำไม้ขุดล้อม หรือไม้ล้อมที่ชาวบ้านทำนั้น คือต้นไม้พันธุ์ที่มีลำต้นเดี่ยวไม่พึ่งพิงกับต้นไม้อื่น ทั้งต้นใหญ่ และเล็ก ปลูกลงดินตามปกติ โดยจะบำรุงใส่ปุ๋ยเล็กน้อยเท่านั้น แล้วทิ้งระยะเวลาไว้ช่วงหนึ่ง หรือให้ได้ขนาดลำต้นตามที่ต้องการโดยส่วนมากไม้ขุดล้อมจะมีอายุอย่างน้อย 1 ปี เมือต้นได้ตามขนาดที่ต้องการหรือตามที่ลูกค้าสั่ง ก็ขุดขึ้นมา ทั้งต้น โดยแหล่งพันธุ์ไม้ที่ปลูกก็จะนำมาจาก อำเภอภาชี จังหวัดอยุธยา ครับ
การขุดพันธุ์ไม้จะมีอยู่ 2 แบบคือ
1. การขุดแทงยกขึ้นมาการทำลักษณะนี้เหมาะสำหรับไม้เนื้ออ่อนโดยจะขุดขึ้นมาทั้งต้นโดยจะไม่ทำการล้อมตัวรากทั้งหมดไว้ก่อนเมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็จะใช้แสลมหรือกระสอบห่อหุ้มตัวรากเพื่อยกออกไปด้านนอกถ้าต้นขนาดใหญ่จะใช้ยางรถยนต์เก่าช่วยพยุงไว้ หรือถ้าต้นเล็ก ก็จะใส่ถุงดำไว้
แบบที่ 2. การขุดแบบล้อมหมักไว้ก่อนคือทำการขุดรอบต้นในครั้งแรกโดยจะใช้แสลมห่อหุ้มพวงรากไว้ทั้งหมดที่ขุดขึ้นมา แล้วก็ถมดินหมักไว้ดังเดิมเพื่อรอการขุดต่อไป การล้อมหมักไว้แบบนี้จะทำให้ได้ต้นพันธุ์ที่แข็งแรงและสมบูรณ์และขนาดลำต้นใหญ่ การทำลักษณะนี้จะได้ขนาดต้นพอเหมาะไม่ใหญ่มากจนเกินไป จนนำมาซึ่งการเรียกว่า ไม้ขุดล้อม และเมื่อขุดพันธุ์ไม้ขึ้นไปแล้วก็จะทำการตัดแต่งกิ่งคือตัดส่วนที่มีใบออกทั้งหมดเพื่อให้แตกออกมาใหม่ และนำไปตั้งไว้ในสถานที่ที่จัดไว้ ทำการรดน้ำใส่ปุ๋ยตามปกติ สาเหตุที่ต้องตัดแต่งกิ่งก็เพราะไม่ให้ต้นไม้ใหญ่จนเกินไป
ในปัจจุบันจะมีพันธุ์ไม้หลายชนิดที่ปลูกไว้เพื่อมาทำไม้ขุดล้อมมากมายหลายชนิด อาทิ อินทนิล ตะแบก ราชพฤกษ์ นนทรี พญาสัตบัน เหลืองสิรินธร คูน ประดู่ หางนกยุง เป็นต้น ถือว่าการทำไม้ขุดล้อมมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรกว่าจะได้จำหน่ายถือว่าต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ขอยกย่องชาวสวนไม้ขุดล้อมใน ต.ชะอม ด้วยนะครับเก่งและมีความอดทนมากครับ การเที่ยวเชิงเกษตรของเราทริปนี้ถือว่าคุ้มครับได้ทั้งความสนุกสานานเพลิดเพลินได้ทั้งความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงอีกด้วย ได้สัมผัสกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์ เป็นการเที่ยวที่ออกรสชาติพอสมควรครับ ถ้าท่านนึกไม่ออกว่าไม้ขุดล้อมเป็นอย่างไร ท่านก็ดูได้ตามข้างถนนหลวงต่าง ๆ ทั่วเมืองไทย จะมีการปลูกพันธุ์ไม้ต่าง ๆ จากแหล่งไม้ขุดล้อมของที่นี่กันทั้งนั้นครับเช่นต้นคูณ, ต้นตีนเป็ด,ต้นรีราวดี และอีกมากมายหลายพันธุ์ นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับเป็นต้นไม้ในการประดับสวนในที่ต่าง ๆ อีกด้วยเพราะต้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก

บูชารอยพุทธบาทล้ำค่า พลังแห่งศรัทธาบนเทือกเขาสุวรรณบรรพต


ภายในวัดพระพุทธบาทสวยงามด้วยศิลปกรรมประดับชั้นเยี่ยมที่น่าหลงใหลเป็นอย่างมาก ถนนเข้าไปยังวัดสวยงามสะอาด ประดับเสาไฟ ดอกไม้นานาชนิด สะอาดสวยงาม มีลานจอดรถสะดวกสบาย ตรงประตูทางเข้ามียักษ์เฝ้าประตู สวยงามน่าดูชม บริเวณด้านหน้าวัดจัดเป็นอาคารเปิดบริการอาหารเครื่องดื่มมากมายหลายเมนู โดยเฉพาะของดีเมืองสระบุรี คือขนมกะหรี่ปั๊บ มีอยู่หลายร้าน และกลุ่มของฝากอีกหลายชนิด ก่อนกลับเราสามารถแวะซื้อหาเอาไปฝากทางบ้านกันได้สบาย ราคาเป็นกันเอง มีเจ้าหน้าที่ดูแลคอยอำนวยความสะดวกเราอย่างทั่ว ถึง
รอยพระพุทธบาทตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระพุทธบาทค้นพบโดยพรานบุญในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองกรุงศรีอยุธยาระหว่างปี พ.ศ. 2153 -2167 กว้าง 21 นิ้ว ยาว 60 ลึก 11 นิ้ว มีหลักฐานในพงศาวดารของไทยว่า พระเถระจากอยุธยาไปนมัสการพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏ และได้รับคำแนะนำจาก พระเถระในลังกาว่าในไทยเองก็มีรอยพระพุทธบาทอันแท้จริงซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับประทานไว้เช่นกัน สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงมีพระดำรัสให้ทำการค้นหา จนพบในที่สุด
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทตามลักษณะ 108 ประการจึง โปรดให้สร้างพระมณฑปน้อยครอบรอยพระพุทธบาท โดยมีมณฑปใหญ่ครอบอีกชั้นหนึ่ง สถาปนาขึ้นเป็น มหาเจดีย์สถาน ทรงอุทิศเนื้อที่โยชน์หนึ่งโดยรอบพระพุทธบาทถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับบำรุงพระพุทธบาท โปรดเกล้า ฯ ให้ตัดถนนหนทาง และสร้างอารามวัตถุอื่นๆ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาเปรียญ และเสนาสนสงฆ์เป็นต้น ซึ่งเป็นศิลปะตั้งแต่สมัย อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ และยังพบรอยจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ที่ก้อนหินขนาดใหญ่ สูงจากพื้น 160 เซนติเมตร เมื่อครั้นเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาท อีกด้วย
พระมณฑปได้มีการก่อสร้างต่อเติมมาหลายสมัย ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบเครื่องยอดรูปปราสาท 7 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีซุ้มบันแถลงประดับทุกชั้น มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองประดับกระจกโดยรอบฝาผนังด้านนอกปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพพนม พุ่มข้าวบิณฑ์บานประตูพระมณฑปเป็นงานศิลปกรรมประดับมุกชั้นเยี่ยมของเมืองไทย พื้นภายในปูด้วยเสื่อเงินสาน ทางขึ้นพระมณฑปเป็นบันไดนาคสามสายซึ่งหมายถึง บันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว ที่ทอดลงจากสวรรค์หัวนาคที่เชิงบันไดหล่อด้วยทองสำริด เป็นนาค 5 เศียร บริเวณรอบพระมณฑปมีระฆังแขวนเรียงราย เพื่อให้ผู้ที่มานมัสการได้ตีแผ่ส่วนกุศลแก่เพื่อนชาวโลกทั้งหลาย

ท่องน้ำตกสระบุรื ที่เจ็ดสาวน้อย



จังหวัดสระบุรี เป็นอีกจังหวัดที่มีธรรมชาติใกล้เมืองกรุง ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่อึดใจ ท่านก็จะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สมบูรณ์ของพื้นป่าที่เขียวชอุ่มที่มีตลอดทั้งปี เย็นฉ่ำกับสายน้ำที่ใสสะอาด และ กิจกรรมพักผ่อนมากมาย ทริปนี้ เราพาเข้าป่าชมไพรท่องน้ำตกสระบุรี ที่น้ำตกเจ็ดสาวน้อย แห่ง อ.มวกเหล็ก ซึ่งเป็นน้ำตก ที่ มีความสวยงามตามธรรมชาติ อีกแห่งหนึ่ง ในอาณาจักรพื้นป่าเขาใหญ่ ป่ากลางเมือง ครับ

วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อยมีเนื้อที่ 540 ไร่ เป็นที่ตั้งของน้ำตกเจ็ดสาวน้อยซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สวยงาม เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะเดินทางสะดวกสบาย เพียง ประมาณ 1 ชั่วโมง จากกรุงเทพ ก็สามารถเล่นน้ำตกท่องไพรธรรมชาติกันได้แบบสบายครับ นอกจากนั้นยังสามารถขับรถเข้าไปได้ถึงตัวน้ำตกได้อีกด้วย ทางด้านในบริเวณน้ำตก มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบถ้วน มีร้านขายอาหารเครื่องดื่มนับสิบร้าน โดยเฉพาะส้มตำไก่ย่าง และมีเมนูอร่อยอีกมากมาย ราคาเป็นกันเองนอกจากนั้นในบริเวณอุทยาน มีบ้านพักเราสามารถพักแรมได้อีกด้วย หรือจะพักแบบกางเต้นท์ก็สามารถทำได้เขาจัดพื้นที่พร้อม มีห้องน้ำ,ห้องอาบน้ำ มีซุ้มที่นั่งทานอาหารพักผ่อนรายรอบด้านข้างตัวน้ำตก หรือจะปูเสื่อก็ทำได้สบายมีพื้นราบแข็งมากมายก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ครับ มีห่วงยางให้เช่าเล่นน้ำพร้อมสรรพ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อล่องแก่งเรือยาง เรือคยัก และรถ ATV ได้อีกด้วย

ตามตำนานเล่าขานกันมาว่า มีหญิงสาวเจ็ดคนมาเล่นน้ำที่น้ำตกแห่งนี้แล้วจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกัน เป็นที่มาของชื่อน้ำตก มีการตั้งศาลเพียงตาขึ้นที่น้ำตกชั้นที่ 4 เรียกว่าศาลเจ้าแม่ทรายทอง บ้างก็ว่าเดิมทางเหนือของน้ำตกมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อบ้านเสาน้อย ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนเป็นสาวน้อย


น้ำตกเจ็ดสาวน้อยตั้งอยู่ในเขตตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก ทางเข้าทางเดียวกับน้ำตกมวกเหล็ก เป็นทางลาดยางต่อไปอีก 9 กิโลเมตร จัดตั้งเป็นวนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 อยู่ในท้องที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ลำน้ำมวกเหล็ก เป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลตลอดปี ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร มีเกาะแก่งที่ไม่สูงมากนัก ลดหลั่นกันไปเป็นทอด ๆ ตัวน้ำตก ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าโปร่ง มีต้นน้ำมาจากผืนป่าอันอุดมใน อช. เขาใหญ่ เป็นน้ำตกเตี้ยๆ มีเจ็ดชั้น แต่ละชั้นสูง 2-5 ม. จากน้ำตกชั้นที่ 1 เดินลงไปถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที สายน้ำไหลลดหลั่นลงไปเป็นธารน้ำตกกว้างคล้ายแก่งขนาดใหญ่ มีแอ่งน้ำตื้นๆ ให้ลงเล่นน้ำหลายแห่ง บางชั้นก็มีน้ำตกเป็นชั้นเล็กๆ แยกย่อยไปอีก นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้ ทางวนอุทยานฯ ได้จัดทำเส้นทางเดินเลียบน้ำตกเป็นทางซีเมนต์ลงไปถึงน้ำตกชั้นที่ 5 จากนั้นเป็นทางดินถึงน้ำตกชั้นที่ 7 มีป้ายบอกชั้นน้ำตกและป้ายเตือนตามจุดอันตราย เช่น ด้านหน้ามีโขดหิน ห้ามกระโดดน้ำ ฯลฯ น้ำตกทุกชั้นสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย ยกเว้นน้ำตกชั้นที่ 3 ซึ่งมีแอ่งน้ำลึกตรงหน้าแก่ง มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง น้ำตกชั้นที่สูงที่สุดและสวยที่สุดคือชั้นที่ 4 สูงราว 3 ม. มีแอ่งน้ำใหญ่กว้างขวางให้ลงเล่น ส่วนผู้ที่ชอบความสงบให้เดินต่อไปยังน้ำตกชั้นที่ 5-7 เพราะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่ชั้นที่ 6 และ 7 กระแสน้ำค่อนข้างแรง ไม่ควรลงเล่นน้ำ ด้านหลังห้องน้ำสาธารณะมีสะพานแขวนข้ามธารน้ำตก เป็นจุดชมความสวยงามของน้ำตกชั้นที่ 1-4 ได้ชัดเจน




เราเริ่มด้วยตำนานบทแรก คือตำนานเสาร้องให้ เมือประมาณปี 2501 ในคืนแห่งความมืดวันหนึ่ง นางเฉลียว จันทร์ประสิทธิ์ชาวบ้านผู้ใจบุญ ได้ฝันว่ามีหญิงคนหนึ่ง รูปร่างเลือนรางบอกว่าเป็นนางไม้ประจำเสาที่จมน้ำอยู่ ให้บอกสามีเอาเสาขึ้นมาจากน้ำด้วย นายเผ่าผู้เป็นสามีก็ไม่เชื่อ มีคน เล่าต่อกันมาว่า นางไม้ของเสาต้นนี้ได้ไปเข้าทรงกับผู้อื่นอีกหลายครั้งจนในที่สุดชาวบ้านหลายคนก็ได้ไปร้องขอให้นายเผ่าเอาเสาต้นนี้ขึ้นมาให้ได้ ตามคำล่ำลือ จนนำมาสู่การนำเอาเสาขึ้นมาจากน้ำ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2501 และในวันนี้เอง ได้รับคำลอกเล่าจากนายจำลอง ขาววรรณะ ว่า ในวันที่ 23 เมษายน 2501 แดดร้อนจัดมากขณะที่กำลัง นำเสาขึ้นจากน้ำ ฉับพลันท้องฟ้าก็มืดครื้มไปหมดทันที มีเสียงฝ่าผ่าดังมากเป็นประกายสีเขียวไปทั่ว เสียงฟ้าร้องคำรามทำท่าคล้ายฝนจะตก ทำให้ผู้คนที่มาเข้าร่วมพิธีกันเป็นจำนวนมากต่างตื่นตาตื่นใจและดีใจกันทั่วหน้าที่สามารถนำเสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจากน้ำได้ในที่สุด

มีคำบอกเล่าต่อกันมาว่าเสาตะเคียนต้นนี้ เป็นเสาที่จะนำไปเป็นเสาเอกในสมัยสร้างกรุงเทพเป็นราชธานี โดยถูกส่งลอยน้ำมาในแม่น้ำป่าสัก แต่การเดินทางช้าไป ทางกรุงเทพจึงได้เลือกเสาต้นอื่นเป็นเสาเอกแทน เสาต้นนี้จึงลอยทวนน้ำมาจมอยู่บริเวณคุ้งน้ำป่าสัก อ.เสาไห้ และในยามค่ำคืนมักมีชาวบ้านได้ยินเสียงร้องให้ขึ้นมาจากท้องน้ำป่าสัก จึงกลายมาเป็นตำนานเสาร้องให้ซึ่งชาวอ.เสาไห้เชื่อว่าเป็นเสียงร้องจากเจ้าแม่ตะเคียนทอง เป็นเรื่องเล่าและความเชื่อมาจนถึงทุกวันนี้
ในวันที่ 23 เมษายน 2501 เป็นวันที่เชิญเสาไปประดิษฐานที่วัดสูง เวลา 9.00 น. เริ่มพิธีเคลื่อนเสาไปสู่วัดสูง โดยตั้งศาลสูงเพียงตา มีหัวหมูซ้ายขวา บายศรี 3 ชั้น ใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกที่เสาแล้วใช้เชือกผูกแพที่รับเสาไห้ประชาชนดึง เมื่อได้ฤกษ์ พระสงฆ์ 9 รูปเจริญชัยมงคลคาถา ประชาชนที่อยู่บนฝั่งหน้าที่ว่าการอำเภอเสาไห้ก็ดึงเชือกแพลูกบวบให้เคลื่อนไปทางทิศตะวันออก มีเรือแตรวงนำขบวน มีเรือต่างๆร่วมขบวนอีกเป็นจำนวนมาก
เมื่อได้เคลื่อนแพเสามาถึงท่าถนนข้างโรงสีเสาไห้แล้ว ก็ใช้เกวียน 4 เล่ม ผูกเสาไว้ใต้เกวียนแล้วมัดยอดเสาไห้พ้นดินเล็กน้อย ผูกด้วยเชือกโยงเรือขนาดใหญ่มัดจากเกวียนไปให้ถึงประชาชนเสาก็เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยดี เมื่อขบวนมาถึงใกล้ศาลเจ้าพ่อซึ่งอยู่ทางแยกเข้าวัดสูงนั้น แม้จะดึงฉุดอย่างไรเกวียนก็ไม่ยอมเคลื่อนที่ทั้งที่ถนนราบเรียบ จึงได้พยายามแก้ไขจนเสียเวลาไปถึง 2 ชั่วโมง นายเผ่า จันทร์ประสิทธิ์ ก็ระลึกได้ว่า เมื่อนางไม้เริ่มเข้าทรงครั้งแรกนั้นได้บอกเพียงว่าใช้สายสิญจน์ให้ประชาชนดึงแทนเชือก จึงได้เปลี่ยนมาใช้ด้ายสายสิญจน์แทนเชือกใหญ่ ขบวนเกวียนก็สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างง่ายดายเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก 10 นาทีก็ถึงวัดสูง เมื่อเวลา 14.30 น. บังเกิดความประหลาดใจโดยทั่วกัน จากนั้นก็นำเสาประดิษฐานไว้ที่ศาลชั่วคราว

หลวงพ่อปากแดง


หลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 1 เมตร เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง จีวรเป็นลายดอกพิกุล พระโอษฐ์แย้มทาสีแดงเห็นชัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า หลวงพ่อปากแดง สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกันพระครูโสภณพรหมคุณ หรือ หลวงพ่อตึ๋ง เจ้าอาวาสวัดพราหมณี เล่าว่า ตำนานเชื่อกันว่าหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่างๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดพักยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณีปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งต่อมา หลวงพ่อปากแดง ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จ.นครนายก จนทุกวันนี้